“ไรมอน แลนด์”พลิกกลยุทธ์ รับความท้าทายใหม่ๆในยุคดิจิทัล

“ไรมอนแลนด์” นับเป็นอีกหนึ่งบริษัทอสังหาริมทรัพย์ ที่น่าจับตามอง โดยมีผู้บริหารหนุ่มไฟแรงอย่าง “เอเดรียน ลี ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร เป็นผู้นำทัพ ที่จะมาถ่ายทอดมุมมองทิศทางธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย ตลอดจนกลยุทธ์การดำเนินงานและแผนในอนาคต ภายใต้ความท้าทายใหม่ ๆ ในยุคดิจิทัล

ผ่านมาแล้วครึ่งปีสำหรับปี 2561 ซึ่งภาพรวมของตลาดอสังหาฯ ในช่วงครึ่งปีแรกนั้น เอเดรียน กล่าวว่าตลาดปรับตัวลดลงเล็กน้อยเมื่อเทียบกับปีก่อน เนื่องจาก 2-3 ปีก่อนหน้ามีการเปิดตัวโครงการอสังหาริมทรัพย์ออกมาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะคอนโดมิเนียมที่มีซัพพลายเหลืออยู่จำนวนมาก ทำให้ขณะนี้หลายบริษัทต่างเร่งขายของเดิมที่มีก่อน แต่คาดว่าในช่วงครึ่งปีหลังจะเห็นโครงการใหม่เปิดตัวมากขึ้น

โดยเซ็คเตอร์บ้านในปีนี้ยังคงเติบโตได้ต่อเนื่อง โดยเฉพาะบ้านราคาระดับกลางหลังละ 5-10 ล้านบาท ขึ้นไปจนถึงระดับราคาหลังละ 20 ล้านบาทก็ยังเติบโตอยู่ ส่วนกลุ่มคอนโดมิเนียมภาพรวมน่าจะชะลอตัวลง โดยเฉพาะกลุ่มราคาระดับกลางลงไป หรือที่มีราคาตั้งแต่ 1-7 ล้านบาท แต่หากเป็นคอนโดมิเนียมในกลุ่มลักชัวรี่ ราคาห้องละ 10 ล้านบาทขึ้นไป สินค้าในตลาดกลุ่มนี้ยังมีไม่มากนัก ขณะที่ความต้องการซื้อมีแนวโน้มที่ดี

“ปีที่แล้วมีคอนโดมิเนียมเปิดใหม่รวมกันกว่า 6 หมื่นยูนิต ในจำนวนนี้เป็นคอนโดระดับไฮเอ็นเพียง 4,000 ยูนิต และขายได้แล้วราว 80% มีเหลืออยู่ 20% ดังนั้นซัพพลายกลุ่มไฮเอ็นจึงเหลือไม่มากนัก”

แต่หากให้มองถึงทิศทางนับจากนี้ไปอีก 10 ปีข้างหน้า ตราบใดที่เศรษฐกิจไทยยังมีเสถียรภาพอย่างต่อเนื่อง เชื่อว่าประเทศไทยจะมีศักยภาพการเติบโตขึ้นอีกมากที่จะทำให้ไทยเป็นตลาดหลักที่สำคัญของเอเชีย เช่นเดียวกับ จีน และญี่ปุ่น จะเห็นได้จากว่าขณะนี้การลงทุนจากต่างชาติเริ่มกลับเข้ามาในประเทศไทยแล้ว และยังมีกลุ่มทุนใหม่ ๆ เข้ามาลงทุนตั้งโรงงานในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจภาคตะวันออก (อีอีซี) เช่น อาลีบาบา, เอ็กซอนโมบิล, แอร์บัส และกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ เป็นต้น

กรุงเทพฯ เองก็จะเปลี่ยนแปลงไป เนื่องจากขณะนี้เริ่มมีการลงทุนในโครงการพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ขนาดใหญ่เกิดขึ้นในหลายพื้นที่ ขณะเดียวกันบริษัทต่างชาติเริ่มเข้ามาลงทุนและตั้งสำนักงานในกรุงเทพฯ กันมากขึ้น ทำให้ความต้องการเช่าพื้นที่อาคารสำนักงานในทำเลดี ๆ มีมากขึ้นตามมา

“และแน่นอนว่าตราบใดที่เศรษฐกิจยังคงเติบโตได้อย่างมีเสถียรภาพต่อเนื่องนี้ บริษัทไรมอน แลนด์ ก็หวังว่าจะเติบโตสอดคล้องกันไปด้วย” เอเดรียน กล่าว

ดันรายได้แตะหมื่นล้าน

สำหรับแผนการดำเนินงานในปีนี้ ไรมอน แลนด์ ซึ่งเป็นผู้พัฒนาอสังหาริมทรัพย์ระดับลักชัวรี่  โดย เอเดรียน กล่าวว่า บริษัทฯ เตรียมเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมระดับหรูในช่วงครึ่งปีหลังอีก 2 โครงการ คือที่พร้อมพงษ์ และสาทร 12 มูลค่ารวม 9,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นโครงการร่วมทุนกับ โตเกียว ทาเทโมโนะ กลุ่มทุนจากประเทศญี่ปุ่น ขณะเดียวกันยังมีโครงการที่อยู่ระหว่างการก่อสร้างอีก 3 โครงการ คือ ลอฟท์ อโศก และ ลอฟท์ สีลม ซึ่งเป็นคอนโดมิเนียมระดับลักชัวรี่ และอีกหนึ่งโครงการเป็นอาคารสำนักงาน ตั้งอยู่ริมถนนสุขุมวิท ตรงแยกเพลินจิต (ฝั่งตรงข้ามเซ็นทรัล แอมบาสซี่)

นอกจากนี้ ในปีหน้ายังได้เตรียมลงทุนโครงการคอนโดมิเนียมอีก 2 โครงการ คือในย่านราชเทวี และสุขุมวิท รวมมูลค่าโครงการอีกราว 11,000 ล้านบาท

ซีอีโอ ไรมอน แลนด์ กล่าวว่า ในด้านธุรกิจที่พักอาศัย (residential) ซึ่งถือเป็นรากฐานของบริษัทนั้น มีแผนจะเปิดตัวต่อเนื่องปีละ 2-3 โครงการ และบริษัทฯ ได้จัดเตรียมที่ดินไว้ล่วงหน้าแล้วสำหรับปีหน้าและปีถัดไป (ปี 2562-2563) ขณะเดียวกัน ก็มุ่งที่จะหันไปเพิ่มสัดส่วนรายได้ด้านธุรกิจคอมเมอร์เชียล เพื่อสร้างรายได้รายได้ประจำ (recurring income) ให้กับบริษัทฯ จึงได้มุ่งไปที่อาคารสำนักงานให้เช่า โดยขณะนี้อยู่ระหว่างการก่อสร้างอาคารสำนักงานให้เช่าแห่งแรกของบริษัทที่แยกเพลินจิต และยังมองหาโอกาสขยายธุรกิจพื้นที่อาคารสำนักงานเพื่อให้เช่าอย่างต่อเนื่องด้วย

ส่วนทำเล นอกจากจะเน้นการลงทุนโครงการในพื้นที่เศรษฐกิจหลักของกรุงเทพฯ หรือ CBD แล้ว บริษัทฯ ยังมองหาทำเลศักยภาพอื่น ๆ เช่นแหล่งท่องเที่ยว ไม่ว่าจะเป็น เขาใหญ่ สมุย หรือภูเก็ต รวมถึงพื้นที่ใน EEC ซึ่งครอบคลุมหลายจังหวัด โดยมองว่าเมื่อมีกลุ่มทุนเข้าไปลงทุนตั้งโรงงานในพื้นที่เหล่านี้มากขึ้นแล้ว จะมีคนย้ายเข้าไปอยู่อาศัยมากขึ้น จึงเป็นโอกาสการลงทุนโครงการที่อยู่อาศัยประเภทต่างๆ

เอเดรียน กล่าวถึงแผนธุรกิจในระยะ 3-5 ปีข้างหน้าของไรมอน แลนด์ ด้วย ว่ามีเป้าหมายที่จะสร้างรายได้ต่อปีให้ถึง 10,000 ล้านบาท หรือคิดเป็นการเติบโตเฉลี่ยต่อปีราว 20% โดยจะเติบโตมากขึ้นในปีหน้าจากการเปิดตัวโครงการใหม่เพิ่มขึ้นนับจากปีนี้

“รายได้ที่เพิ่มขึ้นมานั้น จะมาจากการเปิดตัวโครงการคอนโดมิเนียมซึ่งตามแผนบริษัทจะเปิดโครงการใหม่ปีละ 2-3 โครงการ และยังจะมีรายได้ทางอื่นเข้ามาเพิ่มจากการลงทุนในธุรกิจอาหารและเครื่องดื่มที่จะเริ่มรับรู้รายได้ในปีนี้ ในอนาคตยังมีค่าเช่าจากอาคารสำนักงาน รวมถึงธุรกิจดิจิทัลกำลังจะเปิดตัว ซึ่งจะทำให้สัดส่วนรายได้จากรายได้ประจำของบริษัทเพิ่มขึ้น โดยมีเป้าหมายจะเพิ่มเป็น 30% ของรายได้รวม ส่วนอีก 70% เป็นรายได้จากธุรกิจหลักคือคอนโดมิเนียม”

เอเดรียน กล่าวทิ้งท้ายว่า แม้บริษัทจะมุ่งสร้างการเติบโต แต่ก็จะเป็นไปด้วยความระมัดระวังแบบคอนเซอร์เวทีฟ ดังนั้น การลงทุนของบริษัทในแต่ละครั้งจะต้องศึกษาเป็นอย่างดีก่อน และให้มั่นใจว่าเป็นไปได้จริงๆ อย่างคอนโดมิเนียม บริษัทมีแผนเปิดโครงการใหม่ปีละ 2-3 โครงการ มูลค่าต่อโครงการราว 4,000-5,000 ล้านบาท หรือแม้แต่การขยายธุรกิจร้านอาหาร และอาคารสำนักงานให้เช่า ทั้งนี้ ก็เพื่อให้การเติบโตเป็นไปอย่างมั่นคง