“เอสซี”เดินเกมรุกสู่” Living Solutions Provider”

ดิจิทัลเทคโนโลยีเข้ามามีบทบาทส่งผลให้พฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนไป ซึ่งโมเดลธุรกิจจากนี้จะไม่ใช่แค่เรื่องโปรดักส์และบริการเท่านั้น แต่จะเพิ่มเรื่องของแพลตฟอร์มและโซลูชั่นเพื่อตอบโจทย์ความต้องการของผู้บริโภค  ดังนั้นเป้าหมายของ “เอสซี แอสเสท” ไม่เพียงแค่การเติบโตทางด้านตัวเลขยอดขายและรายได้ เท่านั้น แต่มุ่งก้าวสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านที่อยู่อาศัย ที่พร้อมบริการลูกค้าทุกด้าน หรือการเป็น Living Solutions Provider

ณัฐพงศ์ คุณากรวงศ์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร  บริษัท เอสซี แอสเสท คอร์ปอเรชั่น จำกัด (มหาชน) กล่าวว่า นอกจากแผนการขยายการลงทุนอย่างต่อเนื่องแล้ว เพื่อสร้างการเติบโตอย่างต่อเนื่อง สิ่งที่ต้องเดินไปตามโรดแมป 3 ปี  หรือ Re-invention 2020  มุ่งสู่การเป็นผู้ให้บริการด้านที่อยู่อาศัยพร้อมทุกด้าน หรือเป็น Living Solutions Provider  ซึ่งจะเป็นการตอกย้ำแบรนด์ เอสซี ในธุรกิจพัฒนาที่อยู่อาศัยให้มีความชัดเจนมากยิ่งขึ้น

ปัจจุบันมีการดำเนินการตามแผน ได้แก่ การร่วมพัฒนา Baan Rue Jai Application กับบริษัท ไฟร์ วัน วัน จำกัด เพื่อสร้างประสบการณ์การสื่อสารที่ใกล้ชิดระหว่างเอสซีและชาวเอสซี แฟมิลี่  โดยในไตรมาส 4 นี้ เตรียมเปิดตัว 2 feature ซึ่งเป็นการแจ้งซ่อม และ One-on-One Conversation ที่ชาวเอสซี แฟมิลี่ สามารถติดต่อเอสซี และติดตามสถานะงานซ่อมได้ทุกที่ตลอด 24ชม. และจะมี featureใหม่ๆ เพิ่มเข้ามาทุกๆไตรมาสผ่านวิธีคิดอย่างเข้าใจและรู้ใจผู้ใจ (human-centric)

รวมทั้งการร่วมมือกับพันธมิตร นำร่องโดยการจัดสรรพื้นที่จำนวน 6 ไร่ บริเวณด้านหน้าของที่ดินบางกะดี จ.ปทุมธานี ขนาด 240 ไร่ เพื่อพัฒนาพื้นที่สาธารณะให้เกิดประโยชน์สูงสุดแก่ผู้อยู่อาศัยและชุมชนในย่าน และการปรับปรุงพื้นที่กว่า 1,500 ตร.ม. บริเวณชั้น 14 ณ อาคารชินวัตร 3 สำนักงานใหญ่ เป็น co-working space เพื่อส่งเสริมการทำงาน ร่วมกับ Startup หรือกลุ่มพันธมิตรธุรกิจต่าง ๆ พร้อมเปิดใช้ไตรมาส 2 ปี 2562 นอกจากนี้ยังได้ร่วมกับบริษัทที่ปรึกษาชั้นนำ Slingshot Group ปรับวัฒนธรรมองค์กร เพื่อรองรับการเติบโตในบริบทใหม่ สำหรับทุกคนในองค์กร และ คนรุ่นใหม่ที่จะเข้าร่วมงานกับเอสซี ในอนาคต

สำหรับแผนงานในครึ่งปีหลัง เอสซีมีโครงการะมีโครงการเปิดขายรวมทั้งสิ้น 51 โครงการ มูลค่ารวม 47,000 ล้านบาท แบ่งเป็น  15 โครงการใหม่ มูลค่า 15,000  ล้านบาท และโครงการต่อเนื่อง 36  โครงการ มูลค่า 32,000 ล้านบาท ขณะที่ยอดขาย รอโอนหรือ Backlog เท่ากับ 10,730 ล้านบาท โดย 45% จะรับรู้รายได้ในปี 2561 ทำให้มั่นใจว่า เอสซี จะทำได้ตามเป้ายอดขายและรายได้ 17,000 ล้านบาท

โดยแผนเปิด 15 โครงการใหม่ แบ่งเป็น คอนโดฯ  1 โครงการ คือ  แชมเบอร์ส อ่อนนุช  สเตชั่น มูลค่าโครงการ 1,700 ล้านบาท ราคา 3-5 ล้านบาท และโครงการแนวราบทุกระดับราคา จำนวน 14 โครงการ มูลค่ารวม 13,300 ล้านบาท เป็นบ้านราคา 3-60 ล้านบาท  จำนวน 10 โครงการ ได้แก่

  1. เดอะ เจนทริ เอกมัย-ลาดพร้าว
  2. แกรนด์ บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา-เสรีไทย
  3. บางกอก บูเลอวาร์ด ศรีนครินทร์-บางนา
  4. บางกอก บูเลอวาร์ด พระราม 9-2
  5. บางกอก บูเลอวาร์ด รามอินทรา-เสรีไทย
  6. เวนิว ติวานนท์-รังสิต
  7. เวนิว เวสต์เกต
  8. เวนิว พระราม 9
  9. เพฟ ปิ่นเกล้า-ศาลายา
  10. เพฟ มอเตอร์เวย์-ฉะเชิงเทรา

และทาวน์โฮม 2 โครงการ และ โฮมออฟฟิศ 1 โครงการ ราคา 2-10 ล้านบาท  ได้แก่

  1. เวิร์ฟ ติวานนท์-รังสิต
  2. เวิร์ฟ พระราม 9
  3. เวิร์คเพลส เพชรเกษม 81-2

นอกจากนี้ ยังเปิดแบรนด์ใหม่ชื่อ  “V Compound เป็นบ้านและทาวน์โฮม ราคา 3-7  ล้านบาท

  1. โครงการวี คอมพาวด์ ราชพฤกษ์-ปิ่นเกล้า

ณัฐพงศ์ เผยว่า ในช่วงครึ่งปีแรกเอสซีเติบโตทั้งรายได้และกำไรสุทธิ  โดยมีรายได้รวม 6,652 ล้านบาท เติบโต 44% โดยรายได้หลักมาจากโครงการเพื่อขาย 6,223 ล้านบาท คิดเป็น 94% ของรายได้รวม ประกอบด้วย รายได้จากการขายแนวราบ 4,522 ล้านบาท เติบโต 49% ทั้งนี้เมื่อเทียบกับกับช่วงเดียวกันปีที่ผ่านมา การเติบโตของแนวราบมีความโดดเด่นใน 3 กลุ่ม ได้แก่       บ้านหรูราคา 20 ล้านบาทขึ้นไป เติบโต 67%  ส่วนบ้านราคา 8-20 ล้านบาท เติบโต 512%           ขณะที่ราคาน้อยกว่า 5 ล้านบาท เติบโต 132%

ส่วนรายได้ที่สองมาจากการขายคอนโดฯ 1,701 ล้านบาท เติบโต 49% เช่นกัน ส่วนใหญ่มาจากการโอนโครงการ ศาลาแดง วัน 1,119 ล้านบาท และที่เหลือ 582 ล้านบาท มาจากคอนโดฯ สร้างเสร็จพร้อมอยู่จากโครงการ แชมเบอร์ส, เซ็นทริค และ เดอะเครสท์

สำหรับกำไรบริษัทมีกำไรสุทธิ 704 ล้านบาท เติบโต 107%   ด้วย 2 สาเหตุหลัก  คือ มีรายได้เติบโตทั้งแนวราบและแนวสูง โดยเริ่มโอนคอนโดฯ ศาลาแดง วัน ในไตรมาส 2 และการบริหารค่าเช่ามีประสิทธิภาพดีขึ้น ทั้งด้านการตลาด ด้ายรายได้ที่เติบโต 49% แต่มีค่าใช้จ่ายการตลาดลดลง 13%  นอกจากนี้ บริษัทยังได้มีการทำ JBP (Joint Business Partner) กับ Google และใช้การตลาดออนไลน์สูงกว่าปีที่ผ่านมาเกือบ 100% พร้อมกับค่าใช้จ่ายในการบริหารโครงการแนวราบเฉลี่ยลดลง 15%

ส่วนด้านยอดขายรวมครึ่งปีแรกทำได้ 7,235 ล้านบาท โดยมาจากแนวราบและแนวสูงในสัดส่วน 70% และ 30%โดย ณ วันที่ 30 มิถุนายน 2561 บริษัทและบริษัทย่อยมีสินทรัพย์รวมและหนี้สินรวมเท่ากับ 41,711 ล้านบาท และ 26,583 ล้านบาทตามลำดับ

      “บริบทใหม่ทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงของ landscape ในการทำธุรกิจ เอสซี  จะเติบโตต่อไปอย่างยั่งยืน โดยเป็น Living Solutions Provider ผสานนวัตกรรมเข้ากับที่อยู่อาศัย เพื่อตอบโจทย์การใช้ชีวิตในปัจจุบันและอนาคต เราพร้อมปรับตัวอยู่เสมอ เรียนรู้พฤติกรรมที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอของมนุษย์ผู้อยู่อาศัยณัฐพงศ์กล่าวทิ้งท้าย