‘บิทคอยน์’ แนวโน้มขาขึ้นรับกระแสเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ นักลงทุนสถาบันทั่วโลกเล็งเพิ่มพอร์ตสินทรัพย์ดิจิทัล

‘บิทคอยน์’ แนวโน้มขาขึ้นรับกระแสเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ
นักลงทุนสถาบันทั่วโลกเล็งเพิ่มพอร์ตสินทรัพย์ดิจิทัล

บิทคอยน์ แนวโน้มขาขึ้น นักลงทุนสถาบันและสถาบันการเงินทั่วโลก เริ่มให้ความสนใจในสินทรัพย์ดิจิทัล ทั้งการแตกไลน์ธุรกิจและนำเงินมาลงทุน ส่งผล บิทคอยน์ เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่น่าสนใจช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เนื่องจากมีความผันผวนต่ำ ต่างจากตลาดหุ้นที่ราคาอาจจะเหวี่ยงตัวแรงตามข่าว ขณะทีธุรกิจสินทรัพย์ดิจิทัลในประเทศไทยมีความก้าวหน้าในทุกด้านจนเป็นที่น่าจับตา

นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุน ผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า นักลงทุนสถาบันยักษ์ใหญ่ในต่างประเทศ อาทิ ฟิเดลลิตี้ บริษัทจัดการลงทุนยักษ์ใหญ่ของสหรัฐฯ รวมถึงเจพีมอร์แกน ต่างให้ความสนใจที่จะลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้น โดยเฉพาะบิทคอยน์ (BTC) เห็นได้จากการเปิดให้บริการรับฝากสินทรัพย์ดิจิทัล และอนุญาตให้ลูกค้าเปิดบัญชีซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัลที่ผูกกับบัญชีซื้อขายปกติ

สาเหตุที่นักลงทุนสถาบันหันมาให้ความสนใจ บิทคอยน์ (BTC) มากขึ้น เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีมูลค่าตามราคาตลาดที่ใหญ่ที่สุดและเป็นที่ยอมรับว่ามีคุณสมบัติเป็นสินทรัพย์กักเก็บมูลค่า (Store Of Value) เช่นเดียวกับทองคำ โดยสำนักข่าวบลูมเบิร์กได้เพิ่มบทวิเคราะห์เกี่ยวกับบิทคอยน์ขึ้นมาโดยเฉพาะ รวมถึงสร้างดัชนี Bitcoin Index ขึ้นเพื่อเป็นตัวชี้วัดการลงทุน

แม้แต่ MicroStrategy Incorporated บริษัทจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ NASDAQ ซึ่งดำเนินธุรกิจให้ข้อมูลเกี่ยวกับข้อมูลข่าวสารทางด้านธุรกิจ ได้เข้าลงทุนใน บิทคอยน์ มูลค่ากว่า 250 ล้านดอลลาร์สหรัฐ เพื่อเป็นเงินทุนสำรองของบริษัท ขณะที่ Square บริษัทผู้ให้บริการชำระเงิน ก่อตั้งโดยนาย Jack Dorsey ผู้ร่วมก่อตั้ง Twitter ได้เข้าซื้อบิทคอยน์ มูลค่า 50 ล้านดอลลาร์สหรัฐ โดยให้เหตุผลว่ามองเห็นศักยภาพการเติบโตของบิทคอยน์ ในอนาคตอันใกล้ ที่จะกลายเป็นหนึ่งในสกุลเงินของโลก

สำหรับประเทศไทย เริ่มเห็นบริษัทหลักทรัพย์ตื่นตัวในสินทรัพย์ดิจิทัลมากขึ้นเช่นกัน สะท้อนจากการแตกไลน์ธุรกิจออกมาขอใบอนุญาตประกอบธุรกิจศูนย์กลางซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล (Digital Asset Exchange) รวมถึงความเคลื่อนไหวของตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทยเอง และบริษัทลูกของสถาบันการเงินขนาดใหญ่อย่างธนาคารกสิกรไทย ในชื่อ KBTG ที่ออกมาประกาศลงทุนในแพลตฟอร์มซื้อขายสินทรัพย์ดิจิทัล

“ความเคลื่อนไหวของนักลงทุนสถาบันทั่วโลก บ่งบอกว่าสินทรัพย์ดิจิทัลกำลังมาแรง และเป็นแนวโน้มของการลงทุนรูปแบบใหม่ ซึ่งไม่ใช่เพียงแต่ บิทคอยน์ ที่น่าสนใจ ยังมีสินทรัพย์ดิจิทัลประเภทที่มีสินทรัพย์หนุนหลัง (Asset Backed) อยู่ในความสนใจของนักลงทุนสถาบันทั่วโลกเช่นกัน คือ การเสนอขาย
โทเคนดิจิทัล ที่มีอสังหาริมทรัพย์หนุนหลัง โดยในเร็วๆ นี้ ประเทศไทย ก็จะมีการเสนอขายโทเคนดิจิทัลที่ได้รับอนุญาตจาก ก.ล.ต. อย่างถูกต้องเป็นประเทศแรกในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้”

นายณพวีร์ แนะนำการลงทุนว่า นักลงทุนสามารถแบ่งเงินในพอร์ต สัดส่วน 1-5% ลงทุนในสินทรัพย์ดิจิทัลได้ เนื่องจากเป็นสินทรัพย์ที่มีแนวโน้มการเติบโตในอัตราสูง แต่หากลงทุนผิดพลาดก็จะไม่สร้างผลกระทบต่อพอร์ตลงทุนรวมมากนัก โดยบทวิเคราะห์บลูมเบิร์ก ล่าสุด ระบุราคาบิทคอยน์ มีโอกาสปรับตัวขึ้นแตะระดับ 80,000 ดอลลาร์สหรัฐ ภายในปี 2024 โดยไม่ว่าใครจะได้เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ ในการเลือกตั้งวันที่ 3 พฤศจิกายนนี้ ก็จะส่งผลบวกต่อราคาบิทคอยน์ ทั้งในระยะสั้นและระยะยาว

“ปกติในช่วงก่อนการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตลาดหุ้นจะมีความผันผวนสูงตามกระแสของโพล แต่ราคาบิทคอยน์ กลับมีความผันผวนที่ต่ำกว่าตลาดหุ้น บ่งบอกว่า บิทคอยน์ เป็นหนึ่งในสินทรัพย์ที่สามารถลงทุนได้ในช่วงสามสัปดาห์หลังจากนี้เพื่อป้องกันความผันผวน”

สำหรับแนวโน้มทางเทคนิคของบิทคอยน์ ล่าสุดเริ่มเห็นการฟื้นตัวหลังจากที่ราคาถูกเทขายลงมาจากการที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ แข็งค่าขึ้น โดยราคาเริ่มมีการยกตัวสูงขึ้นและไม่ทำจุดต่ำสุดใหม่ มองแนวรับที่ระดับ 11,150 ดอลลาร์สหรัฐ ส่วนแนวต้านมีโอกาสขึ้นไปทดสอบระดับ 11,500 ดอลลาร์สหรัฐ และหากยังยืนอยู่ได้จะมีเป้าหมายแนวต้านถัดไปที่ระดับ 12,000 และ 12,500 ดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเป็นจุดสูงสุดเดิมของปีนี้ ซึ่งหากผ่านไปได้จะมีเป้าหมายแนวต้านสำคัญที่ระดับ 14,000 ดอลลาร์สหรัฐ