CMC หุ้นอสังหาไซส์เล็ก เติบโตสูง ปันผลเด่น ตั้งเป้าโตสวนกระแส 50% พร้อมเจาะตลาด Campus Condo

CMC หุ้นอสังหาไซส์เล็ก เติบโตสูง ปันผลเด่น

ตั้งเป้าโตสวนกระแส 50% พร้อมเจาะตลาด Campus Condo

บมจ. เจ้าพระยามหานคร (CMC) ชูจุดเด่น หุ้นอสังหาไซส์เล็ก โตแรง ปันผลสูง เปิดเกมส์รุก บุก Campus Condo เจาะตลาดบลูโอเชียน พร้อมเปิด 5 โครงการใหม่กว่า 4,000 ล้านบาท ในครึ่งปีแรก และอีก 4 โครงการมูลค่ากว่า 5,000 ล้านบาท ในครึ่งปีหลัง

นายแพทย์วิเชียร แพทยานันท์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บมจ. เจ้าพระยามหานคร (CMC) กล่าวว่า “CMC เป็นหุ้น อสังหาไซส์เล็ก ที่โตแรง ปันผลสูง โดยบริษัทฯได้ปรับแผนธุรกิจเพื่อรองรับกับสภาพเศรษฐกิจและตลาดอสังหาริมทรัพย์ในปัจจุบัน และเตรียมเปิดตัวแบรนด์คอนโดใหม่พร้อมกัน 3 แบรนด์ภายในครึ่งปีแรก มูลค่ารวมกว่า 4,000 ล้านบาท ได้แก่ CUVEE, CLEV และ CYBIQ พร้อมการออกแบบภายใต้แนวคิดใหม่ทั้งหมด เพื่อให้ตอบโจทย์และสะท้อนไลฟ์สไตล์ของกลุ่มเป้าหมายคนรุ่นใหม่ได้ชัดเจนขึ้น แต่ยังคงเน้นการพัฒนาโครงการที่สมบูรณ์แบบ คุ้มค่า ในทำเลที่โดดเด่น รวมถึงมีแผนเปิดกลยุทธ์ใหม่ “Campus Condo” ในทำเลใกล้กับมหาวิทยาลัยขนาดใหญ่ คือ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) สถาบันราชภัฏ  จันทรเกษม และมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ เจาะกลุ่มเป้าหมายนักลงทุนเพื่อปล่อยเช่าให้กับนักศึกษาและกลุ่มครอบครัวนักศึกษา ซึ่งบริษัทมั่นใจในแผนธุรกิจดังกล่าวจะทำให้ผลการดำเนินงานของบริษัทเติบโตได้ตามเป้าหมาย และสร้างผลตอบแทนในรูปเงินปันผลที่คุ้มค่าให้แก่นักลงทุนได้อย่างแน่นอน”

ทั้งนี้ในครึ่งปีแรกของปี 2562 บริษัทมีแผนเตรียมเปิดตัว 5 โครงการใหม่ มูลค่ารวมมากกว่า 4,000 ล้านบาท ได้แก่ (1) CLEV วงศ์สว่าง เป็นโครงการ high rise 615 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,600 ล้านบาท  (2) CUVEE  ติวานนท์ โครงการ high rise 422 ยูนิต มูลค่าโครงการ 1,500 ล้านบาท  เป็นโครงการที่ให้ความสำคัญกับสมาร์ทเทคโนโลยี และดิจิตอลไลฟ์สไตล์ เพื่อตอบสนองความต้องการของลูกค้าทั้งด้านความสะดวกสบายและทันสมัย ตั้งแต่การมี video door phone, digital door lock, keyless lifestyle เป็นต้น และยังเป็นโครงการที่ได้รับรางวัลสถาปัตยกรรมยอดเยี่ยมและการตกแต่งภายในยอดเยี่ยมระดับประเทศ และรางวัลการออกแบบสถาปัตยกรรมยอดเยี่ยมในระดับเอเชีย (3) CYBIQ รามคำแหงแคมปัส โครงการ low rise  126 ยูนิต มูลค่าโครงการ 270 ล้านบาท จุดเด่น คือ ทำเลใกล้มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ (ABAC) และมหาวิทยาลัยรามคำแหง และ (4) CYBIQ  รัชดา-จันทรเกษมแคมปัส โครงการ low rise 329 ยูนิต มูลค่าโครงการ 600 ล้านบาท ตั้งอยู่ใกล้กับสถาบันราชภัฏจันทรเกษม Campus Condo ทั้ง 2 โครงการมีคอนเซ็ปต์

เพื่อจับกลุ่มผู้อยู่อาศัยที่เป็นนักศึกษา และกลุ่มนักลงทุนเพื่อปล่อยเช่าให้แก่นักศึกษา และ (5) โครงการทาวน์โฮม Kasa Deva มูลค่าโครงการรวม 80 ล้านบาท เน้นเจาะกลุ่มฐานลูกค้าเดิมของบริษัทฯที่มีความต้องการ ทาวน์โฮม หรือ โฮมออฟฟิซ

นายแพทย์วิเชียร กล่าวเสริมว่า “CMC ตั้งเป้าผลประกอบการปีนี้เติบโตที่ 50% โดยมาจากการรับรู้รายได้ของโครงการที่สร้างเสร็จพร้อมอยู่ 2,200 ล้านบาท โครงการใหม่ที่พร้อมจะโอนได้ภายในปีนี้อีก 500 ล้านบาท และรายได้จากงานรับเหมาก่อสร้างและอื่นๆ ภายใต้บริษัทย่อย 300 ล้านบาท ซึ่งบริษัทเตรียมออกแคมเปญการตลาดเพื่อจูงใจและกระตุ้นการขายต่อเนื่องตลอดทั้งปี และเร่งเพิ่มช่องทางการจำหน่ายผ่านกลุ่มเอเย่นต์มากขึ้น ทั้งเอเย่นต์องค์กร และเอเย่นต์อิสระ ซึ่งคาดว่าจะทำให้ยอดขายและรายได้ในปีนี้สามารถเติบโตได้ตามเป้าหมายอย่างแน่นอน ขณะที่บริษัทฯ มีภาระหนี้สินลดลงจากการชำระคืนเงินกู้บางส่วนจากเงินที่ระดมทุนได้ ทำให้ในปีนี้บริษัทจะสามารถลดต้นทุนทางการเงินลงได้อย่างมีนัยสำคัญ        โดยล่าสุดอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อทุน (IBD/E) ลดลงเหลือเพียง 0.9 เท่า ”

“บริษัทยังมีอีก 4 โครงการใน pipeline ที่พร้อมจะเปิดตัวในครึ่งปีหลัง มูลค่าประมาณ 5,000 ล้านบาทโดยขณะนี้อยู่ระหว่างเตรียมความพร้อม และคาดว่าจะเปิดขายได้ภายในปีนี้ นอกจากนั้น บริษัทยังมีแผนรุกธุรกิจให้บริการงานรับเหมาก่อสร้างภายใต้การบริหารงานของบริษัทลูก โดยจะเน้นเข้าร่วมประมูลงานจากภาครัฐ และตั้งเป้าภายในปีนี้จะรับงานได้ไม่น้อย 1,000 ล้านบาท ซึ่งปัจจุบันมีงานในมือ (backlog) แล้ว 200 ล้านบาท” นายแพทย์วิเชียร กล่าวสรุป

CMC ประสบความสำเร็จในการพัฒนาโครงการที่พักอาศัยมากว่า 24 ปี มีการดำเนินการที่ครบวงจรครอบคลุมถึงงานก่อสร้าง การผลิตวัสดุและอุปกรณ์ก่อสร้างต่างๆ อาทิ แผ่นอาคารสำเร็จรูปภายนอกเฟรมกระจกและประตูอลูมิเนียม และผนัง EPS ที่ใช้ภายในอาคาร การผลิตเฟอร์นิเจอร์บิลท์อิน และการให้เช่าเครื่องจักรที่ใช้ในงานก่อสร้าง รวมถึง การจัดหาอุปกรณ์เพื่อใช้และสร้างมูลค่าเพิ่มในโครงการ

อนึ่ง บริษัทฯ มีผลประกอบการ 9 เดือน ปี 2561 ที่น่าพอใจอย่างมาก มีรายได้รวม 1,510  ล้านบาท เพิ่มขึ้น 43% และมีกำไรขั้นต้น 633 ล้านบาท หรือคิดเป็นอัตรากำไรขั้นต้นสูงถึง 42% และมีกำไรสุทธิ 186 ล้านบาท เพิ่มขึ้นถึง 165%  ขณะที่อัตรากำไรสุทธิ (เน็ตมาร์จิ้น) เพิ่มขึ้นอย่างมีนัยยะ คือเพิ่มกว่าเท่าตัวเป็น 12.0% จาก 5.8%