“เดอะ เบส สะพานใหม่” สะท้อนหลากแง่มุมการใช้ชีวิต กับแนวคิด “MY BASE REVEALS NEW PERSPECTIVES”

 

“เดอะ เบส สะพานใหม่” โครงการคอนโดมิเนียม แบบมิดไรส์  (Mid-Rise) 14 ชั้น 1 อาคาร จำนวน  820 ยูนิต มูลค่าโครงการกว่า 2,800 ล้านบาท ภายใต้ความร่วมมือระหว่าง บริษัท แสนสิริ จำกัด (มหาชน) และบริษัท บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้งส์ จำกัด (มหาชน) พัฒนาขึ้นภายใต้แนวคิด MY BASE REVEALS NEW PERSPECTIVES”  (มาย เบส มีหลายมุม) ที่สะท้อนไลฟ์สไตล์อันหลากหลายของย่านสะพานใหม่ รวมถึงรูปแบบการใช้ชีวิตที่มีหลายแง่มุม ตั้งอยู่บนพื้นที่กว่า 4 ไร่บนถนนพหลโยธิน ซึ่งถือเป็นทำเลศักยภาพที่น่าจับตามองในอนาคตโครงการอยู่ติดกับรถไฟฟ้าสายสีเขียว สถานีสายหยุด ซึ่งเชื่อมต่อสู่กลางใจเมือง และห่างจากจุดเชื่อมต่อรถไฟฟ้าสายสีชมพู บริเวณสถานีวัดพระศรีมหาธาตุเพียงสองสถานีเท่านั้นนอกจากนี้ยังใกล้ถนนวิภาวดีรังสิตซึ่งสามารถเชื่อมต่อสู่แหล่งไลฟ์สไตล์ได้อย่างง่ายดาย และดอนเมืองโทลเวย์ที่เชื่อมต่อไปยังเขตธุรกิจใจกลางเมือง (CBD) ได้อย่างรวดเร็ว ที่สำคัญยังอยู่ใกล้สนามบินดอนเมืองซึ่งเป็นสนามบินที่รองรับการเดินทางทั้งภายในประเทศและระหว่างประเทศได้อย่างสะดวก

โดยโครงการ “เดอะ เบส สะพานใหม่” ออกแบบขึ้นภายใต้แนวคิด “ไอรอนนี” (Irony) หรือความย้อนแย้ง  ที่เล่นกับความสุดขั้วของความต่าง ซึ่งเมื่อนำมาผสมผสานกันแล้วเกิดเป็นความลงตัวได้อย่างน่าประหลาดความย้อนแย้งนั้นอาจตีความได้ถึงสิ่งที่เรามองเห็นและความเป็นจริงที่มีแตกต่างกัน อย่างศิลปะแบบ “ดีแมททีเรียลไลเซชั่น” (Dematerialization) ซึ่งลวงตาให้วัตถุที่อยู่ในสถานะหนึ่งให้มองเห็นเป็นลักษณะที่ใกล้เคียงกับวัตถุอีกสถานะหนึ่ง จึงเป็นที่มาของแนวคิดในการออกแบบฟาสาด (Façade) ของโครงการ ที่นำเอาลวดลายเส้นสายของความเป็นพลีท (Pleats) ซึ่งมีความอ่อนช้อยพริ้วไหวสวยงาม มาสร้างความโดดเด่นให้ตัวอาคารที่สร้างขึ้นด้วยวัสดุที่แข็งแรงคงทน

นอกจากนี้โครงการยังให้ความสำคัญกับสิ่งอำนวยความสะดวกด้วยพื้นที่ส่วนกลางรวมกว่า 4,800 ตารางเมตรที่เปิดให้บริการตลอด 24 ชั่วโมง 7 วัน เพื่อรองรับไลฟ์สไตล์ที่มีหลายแง่มุมของคนรุ่นใหม่เริ่มจากชั้น 1 สร้างความประทับใจแรกด้วย BOTANICAL LOBBY โถงต้อนรับส่วนกลางขนาดใหญ่ที่ตกแต่งด้วยสวนแนวตั้ง (Vertical Garden) ที่ยกสวนขนาดใหญ่ขึ้นไปแขวนห้อยบนเพดานอีกทั้งยังมีผนังที่ล้อมาจากฟาสาด (Façade) อาคารที่มีการนำความพริ้วของ พลีทส์ มาใส่ไว้ในโถงต้อนรับให้สอดคล้องกับคอนเซ็ปต์ของตัวอาคารอีกด้วย

พร้อมด้วย CLUBHOUSE ซึ่งเป็นพื้นที่ CO-WORKING SPACE และห้องประชุมที่เปิดรับวิวของสวนภายนอกอาคารสามารถสร้างบรรยากาศที่สดชื่นในการทำงานได้ตลอดทั้งวัน  นอกจากนี้ยังมีการ provide wifi และ projector เพื่ออำนวยความสะดวกให้ลูกบ้านอีกด้วย ต่อด้วย SECRET GARDEN พื้นที่สวนด้านหลังอาคารที่ให้ลูกบ้านสามารถมานั่งพักผ่อนอ่านหนังสือได้อย่างเป็นส่วนตัว ในส่วนของชั้น 2  ที่เชื่อมต่อระหว่างอาคาร 2 ฝั่งด้วย SUNSHINE ATRIUM โถงกลางขนาดใหญ่ที่เปิดรับแสงธรรมชาติอย่างเต็มที่ ทั้งยังโดดเด่นด้วยการนำต้นไม้ใหญ่เข้าไปปลูกไว้ภายในตัวอาคาร และใช้กระจกเงาเพิ่มลูกเล่นในการสะท้อนที่ทำให้ไม่ว่าจะยืนจุดไหนในบริเวณเอเทรี่ยม ก็ยังเห็นต้นไม้บริเวณกลางเอเทรี่ยม เท่านั้นไม่พอ ยังเพิ่มความสดชื่นด้วยสวนลอยฟ้า VIVID GARDEN ที่ชั้น 6 ให้ลูกบ้านสามารถขึ้นมาพักผ่อนหย่อนใจ พร้อมชมวิวเมืองได้ทั้งเวลากลางวัน และกลางคืน นอกจากนี้อีกหนึ่งจุดเด่นของโครงการก็คือ PANORAMIC GYM พื้นที่ออกกำลังกายที่ชั้น 14 ซึ่งสามารถชมวิวเมืองได้ 270 องศา โดยบริเวณพื้นที่นี้ยังเพิ่มความพิเศษโดยการนำกระจกเงาดึงวิวจากภายนอกให้สะท้อนเข้ามาภายในพื้นที่ออกกำลังกาย ทำให้ลูกบ้านได้เพลิดเพลินตลอดการออกกำลังกาย นอกจากเครื่องเล่นออกกำลังกายตามสแตนดาร์ดแล้วทางโครงการยังจัดโซนฟังก์ชันนอลเทรนนิ่ง (Functional Training) ที่อัดแน่นด้วยเครื่องเล่นสุดล้ำอย่างครอสฟิต (Crossfit) ที่สามารถเพิ่มฟังก์ชั่นในการออกกำลังกายได้อย่างอิสระ และสนุกสนาน และนอกจากนี้ทางโครงการยังมีการออกแบบห้องน้ำและห้องเปลี่ยนเสื้อผ้าของพื้นที่ออกกำลังกายทั้งชายและหญิง ยังตกแต่งด้วยหินเทอรราซโซด้วย (Terrazzo) และที่ชั้นดาดฟ้า HIDEAWAY ROOFTOP ถือเป็นไฮไลท์ ที่โดดเด่นที่สุดของโครงการประกอบด้วย SUNSET GARDEN พื้นที่สวนขนาดใหญ่บริเวณดาดฟ้า ทิศตะวันตกของอาคารพร้อมสนามเด็กเล่นที่ได้รับคำแนะนำจากโรงพยาบาลสมิติเวชเพื่อช่วยเสริมสร้างพัฒนาการของเด็กๆให้เหมาะสม   และลู่วิ่งขนาดใหญ่ (Jogging Track) พร้อมสตาร์เลานจ์ (Star Lounge) พื้นที่สำหรับดูดาวท่ามกลางสวนสีเขียวที่ถูกตกแต่งอย่างโรแมนติกและสวยงาม และในส่วนของดาดฟ้าบริเวณทิศตะวันออกของอาคารยังมี SUNRISE LAGOON สระว่ายน้ำแบบอินฟินิตี้ลูป (Infinity Loop) และสระว่ายน้ำสำหรับเด็กที่พร้อมให้ลูกบ้านได้มาผ่อนคลายตลอดทั้งวัน โดยสระว่ายน้ำสามารถเปลี่ยนไฟภายในสระว่ายน้ำได้ โดยเป็นการนำเทคนิคของแสงไฟใต้สระมาเพิ่มลูกเล่นเปลี่ยนสีเพื่อให้เกิดความสนุกสนานมากยิ่งขึ้น โดยมี SPIRAL BRIDGE สะพานวนที่เชื่อมต่อระหว่างพื้นที่ส่วนกลางทั้ง 2 ส่วนที่ชั้นดาดฟ้าเข้าไว้ด้วยกันซึ่งออกแบบขึ้นตามหลักยูนิเวอร์แซลดีไซน์ (Universal Design) เพื่อรองรับการใช้งานของคนทุกวัย นอกจากนี้ยังมีการนำเทคโนโลยีมาใช้ในการอำนวยความสะดวกให้กับการอยู่อาศัยและใช้ชีวิตในโครงการอย่าง อินเตอร์เน็ตไร้สายบริเวณพื้นที่ส่วนกลางจุดบริการชาร์ตแบตเตอรี่สำหรับรถยนต์พลังงานไฟฟ้า(EV Charger) สมาร์ทล็อคเกอร์ (Smart Locker)เพื่อให้ลูกบ้านสามารถรับพัสดุที่ส่งถึงตนเองได้ตลอด 24 ชั่วโมงผ่าน Home Service Applications พร้อมอุ่นใจด้วยบริการรักษาความปลอดภัยโดยเจ้าหน้าที่ผู้เชี่ยวชาญพร้อมกล้องวงจรปิดตลอด 24 ชั่วโมง

ด้านการออกแบบห้องพักถูกออกแบบขึ้นอย่างลงตัวเพื่อรองรับการใช้งานหลากฟังก์ชั่น พร้อมนำเสนอประสบการณ์ใหม่ของการอยู่อาศัยแนวสูงด้วยยูนิตแบบลอฟท์ (Loft Unit)  เพดานสูง 4.55 เมตร ที่ชั้น 14 ช่วยเพิ่มพื้นที่การใช้งานให้มากขึ้นกว่าเดิม

โดยมีรูปแบบห้องให้เลือกสรรตามความต้องการในการใช้งานทั้งหมด 4 แบบ ได้แก่

  • 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 24.00 – 35.50 ตารางเมตร
  • 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ พื้นที่ใช้สอย 48.25 – 55.75 ตารางเมตร
  • 1 ห้องนอน 1 ห้องน้ำ (เพดานสูง 4.55 เมตร) พื้นที่ใช้สอย 25.50 – 34.25 ตารางเมตร
  • 2 ห้องนอน 2 ห้องน้ำ (เพดานสูง 4.55 เมตร) พื้นที่ใช้สอย 55.75 ตารางเมตร

สัมผัสรูปแบบการใช้ชีวิตหลากแง่มุมได้ที่ “เดอะ เบส สะพานใหม่” เปิดขายแบบแต่งครบ (Fully Furnished) สำหรับทุกยูนิตของโครงการในราคาเริ่มต้นเพียง 2.29 ล้านบาท