“เอกา โกลบอล” มองอนาคตธุรกิจส่งออกอาหารสดใส อานิสงส์ค่าบาทอ่อน – ชูศักยภาพไทยเป็นครัวของโลก

“เอกา โกลบอล” มองอนาคตธุรกิจส่งออกอาหารสดใส
อานิสงส์ค่าบาทอ่อน – ชูศักยภาพไทยเป็นครัวของโลก
 

“เอกา โกลบอล” ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร มองอนาคตธุรกิจส่งออกอาหารของไทยสดใส รับอานิสงส์ค่าบาทอ่อน ยกชูศักยภาพไทยเป็นครัวของโลก พร้อมแนะผู้ประกอบการทำประกันความเสี่ยงค่าเงิน และนำนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารมาใช้เพื่อเพิ่มขีดความสามารถการแข่งขัน สยายปีกธุรกิจสู่ตลาดโลก

นายชัยวัฒน์ นันทิรุจ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท เอกา โกลบอล จำกัด (EKA GLOBAL) ผู้นำตลาดนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหาร (Longevity Packaging) เปิดเผยว่า มองอนาคตธุรกิจส่งออกอาหารของไทย มีโอกาสขยายตัวได้ดีอย่างต่อเนื่องจากสัญญาณบวกหลายปัจจัย ทั้งทิศทางค่าบาทที่อ่อนค่าลง ทำให้ผู้ประกอบการผู้ผลิตและส่งออกอาหารได้รับอานิสงส์จากค่าเงินที่เพิ่มขึ้น ขณะที่สถานการณ์ความขัดแย้งระหว่างประเทศรัสเซีย-ยูเครน ยังคงมีอยู่ ส่งผลต่อความต้องการอาหารทั่วโลกเพิ่มปริมาณสูงขึ้น ประเทศไทยนับว่าได้เปรียบต่างชาติ เพราะเป็นที่ยอมรับของทั่วโลก ว่าไทยเป็นครัวเป็นอู่ข้าวอู่น้ำของโลก ทางด้านต้นทุนค่าระวางเรือก็เริ่มอ่อนตัวลงมาอยู่ในระดับที่สามารถบริหารจัดการได้ดี ส่วนปัญหาการขาดแคลนเรือขนส่งระหว่างประเทศ สถานการณ์ก็เริ่มกลับเข้าสู่สภาวะใกล้เคียงปกติแล้ว

ทั้งนี้ ด้วยศักยภาพคุณภาพและทรัพยากรทางด้านอาหารของไทย มั่นใจว่าธุรกิจส่งออกอาหารของไทยจะมีอนาคตสดใสในระยะยาว ๆ ในอัตราการเติบโตไม่ต่ำกว่า 30% ต่อปี แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงบ้างเล็กน้อยจากความไม่แน่นอนของเศรษฐกิจโลก ที่จะต้องจับตามองว่าจะซบเซามากน้อยเพียงใด โดยเฉพาะเศรษฐกิจอเมริกา เพราะเป็นประเทศผู้บริโภคอาหารนำเข้ารายใหญ่ของโลก รวมถึงสถานการณ์วิกฤตการขาดแคลนทรัพยากรการผลิตและอาหารที่คาดว่าจะรุนแรงมากขึ้นในปีนี้และในอนาคต

“ภาพรวมธุรกิจส่งออกอาหารของไทย อนาคตยังคงสดใส แม้จะมีปัจจัยเสี่ยงทางด้านเศรษฐกิจโลกหดตัว และปัญหาวิกฤตการขาดแคลนอาหาร แต่ในมุมมองผู้คน อาหารเป็นปัจจัยสี่ คนยังคงต้องกินต้องใช้ จึงเชื่อว่าธุรกิจส่งออกอาหารจะยังเติบโตได้ดีอย่างต่อเนื่อง ส่วนความผันผวนของค่าเงิน แนะนำผู้ประกอบการควรทำประกันความเสี่ยงเรื่องค่าเงินไว้ เพื่อไม่ให้ส่งผลกระทบต่อธุรกิจในอนาคต”

นายชัยวัฒน์ กล่าวว่า เทรนด์ผลิตภัณฑ์อาหารที่มีโอกาสจะเติบโตดีในอนาคตจะเป็นอาหารประเภทสะดวกซื้อสะดวกใช้ คือ อาหารพร้อมรับประทาน (Ready-to-eat food) เพราะพฤติกรรมผู้บริโภคเปลี่ยนหลังจากสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด และโลกกำลังเผชิญกับการขาดแคลนทรัพยากรและอาหาร โดยทรัพยากรการผลิตอาหารมีจำนวนจำกัดและลดน้อยลงเรื่อย ๆ ทำให้ผู้บริโภคเริ่มหันมามองหาผลิตภัณฑ์อาหาร บรรจุภัณฑ์และนวัตกรรมที่มีคุณสมบัติในการเก็บรักษา คงคุณภาพอาหาร และช่วยยืดอายุอาหารได้นานยิ่งขึ้น เพื่อลดอัตราการสิ้นเปลืองและสูญเสียทรัพยากรเนื่องจากอาหารบูดเน่า

“หากอาหารที่เราผลิตมีอายุการจัดเก็บสั้น ไม่สะดวกซื้อ ไม่สะดวกใช้ ก็จะยิ่งสิ้นเปลืองทรัพยากรมากขึ้นอีก ดังนั้นบรรจุภัณฑ์ที่มีนวัตกรรมช่วยยืดอายุอาหาร สามารถจัดเก็บนอกตู้เย็นได้ยาวนาน 1-2 ปี จะช่วยลดการสูญเสียของอาหารบูดเน่าได้มากขึ้น การใช้ทรัพยากรผลิตอาหารก็จะลดน้อยลงด้วยเช่นกัน ผู้ประกอบการผู้ผลิตอาหาร และส่งออก จึงไม่ควรมองข้ามความสำคัญ และหันมาลงทุนกับนวัตกรรมบรรจุภัณฑ์ยืดอายุอาหารมากขึ้น เพื่อจะสามารถยกระดับ และผลิตสินค้าที่ตรงกับความต้องการ ตอบโจทย์ไลฟ์สไตล์ใหม่ของผู้บริโภค ซึ่งจะช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจได้อีกมาก”