‘สิงห์ เอสเตท’ เร่งเครื่องเพิ่มพอร์ตบ้านลักชัวรี ตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้นเท่าตัวในปี 2565 พร้อมเตรียมขายสินทรัพย์เข้ากอง SPRIME เสริมแกร่งธุรกิจ

‘สิงห์ เอสเตท’ เร่งเครื่องเพิ่มพอร์ตบ้านลักชัวรี ตั้งเป้ารายได้เพิ่มขึ้นเท่าตัวในปี 2565
พร้อมเตรียมขายสินทรัพย์เข้ากอง SPRIME เสริมแกร่งธุรกิจ
 

กรุงเทพฯ – บริษัท สิงห์ เอสเตท โชว์รายได้รวมปี 2564 แตะ 7,739 ล้านบาท ท่ามกลางสถานการณ์การแพร่ระบาดของ
โควิด-19 หลายระลอกที่ยังคงกดดันการประกอบการในหลายธุรกิจ ทว่า สิงห์ เอสเตท ตระหนักถึงโอกาสในการลงทุนเพื่อต่อยอดธุรกิจ และเสริมฐานรากที่แข็งแกร่งด้านการดำรงพอร์ตธุรกิจภายใต้หลักการกระจายความเสี่ยง ส่งผลให้รายได้รวมเติบโตต่อเนื่องติดกัน 4 ไตรมาส และเป็นการปรับตัวเพิ่มขึ้น 18% จากปีก่อนหน้า รวมทั้งพลิกกลับมาสร้าง
กำไรสุทธิ 100 ล้านบาท ในไตรมาสที่ 4 ของปี

การเพิ่มขึ้นของรายได้รวมมีสาเหตุหลักจากผลการดำเนินงานที่โดดเด่นของกลุ่มธุรกิจโรงแรม ซึ่งรายงานรายได้จากการขายและให้บริการที่ 4,512 ล้านบาท เติบโตขึ้นเกือบ 3 เท่าจากปีก่อนหน้า สะท้อนผลงานความสำเร็จชิ้นสำคัญจาก
กลยุทธ์ของบริษัทฯ ที่เน้นกระจายความเสี่ยงด้วยการเข้าลงทุนในโรงแรมหลากหลายภูมิภาค เพื่อให้เกิดพอร์ตโรงแรมที่มีความสมดุลทั้งในเชิงภูมิศาสตร์และฤดูกาลท่องเที่ยวมากที่สุด โดยกว่า 90% ของรายได้รวมทั้งหมดในปี 2564 มาจากพอร์ตโรงแรมในสหราชอาณาจักรที่บริษัทปรับพอร์ทโฟลิโอซื้อเข้ามาในช่วงต้นปี 2564 โดยกลุ่มโรงแรมดังกล่าว
ฟื้นตัวอย่างแข็งแกร่งจากอุปสงค์การท่องเที่ยวภายในประเทศ จากความก้าวหน้าในการกระจายวัคซีนให้ประชากร
ผนวกกับผลประกอบการที่ดีของโรงแรมในโครงการ CROSSROADS สาธารณรัฐมัลดีฟส์ ที่สามารถดึงดูดกลุ่มนักท่องเที่ยวที่หลากหลายได้จากทุกมุมโลก โดยโครงการ CROSSROADS ในไตรมาส 4 มีอัตราค่าห้องพักเฉลี่ยรายวัน (ADR) สูงที่สุดนับตั้งแต่เปิดให้บริการมา ยืนยันสัญญาณบวกต่อรายได้ในอนาคตที่จะเติบโตได้อย่างก้าวกระโดด
เมื่อทุกประเทศเริ่มสามารถเปิดรับนักท่องเที่ยวจากต่างชาติได้เป็นปกติ

นางฐิติมา รุ่งขวัญศิริโรจน์ ประธานเจ้าหน้าที่บริหาร บริษัท สิงห์ เอสเตท จำกัด (มหาชน) หรือ ‘S’ เปิดเผยว่า
ผลการดำเนินงานที่น่าพึงพอใจ เป็นผลมาจากการที่ สิงห์ เอสเตท ไม่หยุดที่จะปรับโมเดลธุรกิจเพื่อสร้างความแข็งแกร่งให้กับพอร์ต ตลอดจนเสริมความแตกต่างและเพิ่มความสามารถในการทำกำไรให้กับผลิตภัณฑ์และบริการของเรา
พร้อมเดินหน้าควบคุมค่าใช้จ่ายอย่างต่อเนื่อง ทำให้ในปี 2564 นี้ เราสามารถสร้างกำไร EBITDA ที่ 1,562 ล้านบาท เติบโตขึ้น 213% พร้อมกับไตรมาส 4 ของปี บริษัทฯ มีกำไรสุทธิ 100 ล้านบาท พลิกจากขาดทุน 2,029 ล้านบาท
ในช่วงเวลาเดียวกันของปีก่อนหน้า

สำหรับธุรกิจที่พักอาศัย เพื่อต่อยอดความสำเร็จจาก “โครงการสันติบุรี เดอะ เรสซิเดนเซส” เราจะเดินหน้ารุกตลาดแนวราบ โดยโครงการที่จะทยอยเปิดตัวในอนาคตจะครอบคลุมระดับราคาที่กว้างขึ้น ซึ่งมีราคาต่อหน่วยประมาณ
20 – 100 ล้านบาท เพื่อขยายศักยภาพของแบรนด์ (Leverage Brand Equity) แต่เรายังคงมุ่งเน้นตลาดระดับบน
ซึ่งเป็น segment ที่บริษัทมีความชำนาญและมีฐาน loyalty ของลูกค้าอยู่แล้ว โดยในปี 2565 บริษัทวางแผนที่จะเปิดตัวโครงการบ้านเดี่ยวระดับ Luxury ราคาประมาณ 50 – 100 ล้านบาท ย่านซอยพัฒนาการ 32 ภายในช่วงครึ่งปีหลัง
พร้อมตั้งเป้าลุยซื้อที่ดินในทำเลศักยภาพอีกจำนวน 4 แห่งภายในปี 2565

ท่ามกลางความท้าทายของธุรกิจอาคารสำนักงาน แต่ด้วยศักยภาพของทำเลที่ตั้ง การบริหารจัดการพอร์ตลูกค้าให้สมดุลอย่างสม่ำเสมอ การปรับปรุงทรัพย์สินให้ทันสมัย ตลอดจนการนำเสนอโมเดลธุรกิจใหม่ๆ เพื่อสอดรับกับความต้องการของผู้เช่าที่เปลี่ยนแปลงไป ส่งผลให้ในปีที่ผ่านมาเราสามารถรักษาอัตราการเช่าพื้นที่เฉลี่ยโดยรวมได้ที่ระดับ 87% และในไตรมาส 2 ปี 2565 นี้ สิงห์ เอสเตท เตรียมเปิดตัว ‘เอส โอเอซิส’ อาคารสำนักงานไฮบริดแห่งอนาคต ที่พัฒนาขึ้นเพื่อรองรับการทำงานที่ต้องการความยืดหยุ่นสูงสุด ตอบโจทย์วัฒนธรรมการทำงานยุคใหม่ ด้วยจำนวนพื้นที่ราว 54,000 ตารางเมตร ซึ่งจะเป็นอาคารสำนักงานเกรดเอ แห่งแรกบนถนนวิภาวดีรังสิต ทำเลแห่งอนาคตของกรุงเทพตอนเหนือ

นอกจากนั้น บริษัทอยู่ระหว่างดำเนินการนำอาคารสำนักงานและพื้นที่ค้าปลีกของบริษัทฯ 3 อาคาร ได้แก่ อาคารสิงห์ คอมเพล็กซ์ อาคารเมโทรโพลิส และพื้นที่ค้าปลีกในอาคารซันทาวเวอร์ส ด้วยพื้นที่ให้เช่ารวมกว่า 64,000 ตารางเมตร
ให้เช่าระยะยาวแก่กองทรัสต์เพื่อการลงทุนในสิทธิการเช่าอสังหาริมทรัพย์ เอส ไพรม์ โกรท (SPRIME) ที่มูลค่าไม่ต่ำกว่า 6,450 ล้านบาท ซึ่งเป็นไปตามกลยุทธ์บริหารจัดการพอร์ตโฟลิโอของบริษัทฯ ที่จะมีการ Recycle capital
สร้างความแข็งแกร่งทางการเงิน เพื่อรองรับการขยายธุรกิจให้เติบโตอย่างต่อเนื่อง และสร้างความแข็งแกร่งให้ SPRIME เป็นหนึ่งในกองทรัสต์เพื่อการลงทุนในอาคารสำนักงานที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ

ปีนี้จึงเป็นอีกหนึ่งก้าวสำคัญในการยกระดับธุรกิจของสิงห์ เอสเตท ทั้งการเสริมสร้างความแข็งแกร่งให้กับพอร์ตโฟลิโอของเรามีประสิทธิภาพในการดำเนินงานที่ดีขึ้น พร้อมฉกฉวยโอกาสของการฟื้นตัวทางเศรษฐกิจในวิถีใหม่ ตลอดจนเดินหน้าเข้าสู่ธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องและธุรกิจสร้างสรรค์ใหม่ๆ ที่จะมาต่อยอดและเสริมความแตกต่างที่ดีที่สุด (Unique Selling Points) ให้กับธุรกิจที่มีอยู่ในปัจจุบัน เพื่อให้ สิงห์ เอสเตท ก้าวไปเป็นหนึ่งในผู้เล่นแถวหน้าของประเทศไทยที่ผนึกกำลังธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ครบวงจร และธุรกิจบริการที่เกี่ยวเนื่อง เพื่อผลักดันรายได้ให้เติบโตขึ้นเท่าตัวในปี 2565 นี้ – นางฐิติมา กล่าว