ทองคำ-บิทคอยน์ แนวโน้มขาขึ้นรับผลเลือกตั้งสหรัฐฯ ทั่วโลกย้ายเงินลงสินทรัพย์เสี่ยงหวังผลตอบแทนสูง

ทองคำ-บิทคอยน์ แนวโน้มขาขึ้นรับผลเลือกตั้งสหรัฐฯ
ทั่วโลกย้ายเงินลงสินทรัพย์เสี่ยงหวังผลตอบแทนสูง

นักลงทุนรุ่นใหม่ มองความชัดเจนของการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ส่งผลให้นักลงทุนทั่วโลกย้ายเงินมาลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้นอย่างตลาดหุ้น มองราคาทองคำ-บิทคอยน์ มีโอกาสปรับขึ้น ขณะที่สถิติย้อนหลังระบุหลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ตลาดหุ้นไทยให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 11.5% ในช่วงเวลา 6 เดือน แนะให้ระวังปีนี้มีวิกฤตไวรัสโควิด-19 และโดนัลด์ ทรัมป์ เดินหน้าฟ้องร้องให้นับคะแนนใหม่ ส่งผลให้ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมถึงหุ้นไทยมีความผันผวน

นายณพวีร์ พุกกะมาน นักลงทุน ผู้ก่อตั้ง Creative Investment Space (CIS) สถาบันให้ความรู้ด้านนวัตกรรมการลงทุนรูปแบบใหม่ เปิดเผยว่า การที่ตลาดหุ้นทั่วโลก ทั้งสหรัฐอเมริกาและไทย ตลอดจนสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำ และสินทรัพย์ดิจิทัลอย่างบิทคอยน์ ปรับตัวพุ่งแรงเมื่อคืนที่ผ่านมา (5 พ.ย. 63) เป็นผลมาจากเริ่มเห็นความชัดเจนว่า โจ ไบเดน มีโอกาสจะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ คนใหม่ แม้ผลการเลือกตั้งยังไม่เสร็จสิ้น แต่จากผลคะแนนถือว่ามีโอกาสสูงที่ผู้สมัครจากพรรคเดโมแครตจะเป็นผู้ชนะ

ตัวชี้วัดที่น่าสนใจคือ Dollar Index อ่อนค่าลงอย่างรวดเร็วเมื่อคืนที่ผ่านมา ส่งผลบวกต่อราคาสินค้าโภคภัณฑ์และสินทรัพย์ดิจิทัลอย่าง ทองคำและบิทคอยน์ โดยราคาทองคำพุ่งแรงกว่า 2.88% หรือประมาณ 50 ดอลลาร์สหรัฐ ทำให้ล่าสุดทองคำเคลื่อนไหวอยู่ที่ 1,950 ดอลลาร์สหรัฐ ขณะที่บิทคอยน์ พุ่งแรงเกือบ 10% แตะระดับ 15,500 ดอลลาร์สหรัฐ สูงสุดในรอบสามปี

“การที่ดอลลาร์สหรัฐอ่อนค่า บ่งบอกว่านักลงทุนทั่วโลกกำลังนำเงินออกไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงมากขึ้นอย่างตลาดหุ้น ถ้าหากแนวโน้มของค่าเงินดอลลาร์สหรัฐยังคงอ่อนค่า หลุดแนวรับเดิมที่ระดับ 92.063 จุด จะยิ่งส่งผลดีต่อสินทรัพย์อื่น โดยเฉพาะทองคำและบิทคอยน์”

ทางด้านตลาดหุ้น ประเด็นที่น่าสนใจ คือผลการเลือกตั้งสภาล่างและสภาสูง มีผลออกมาเป็นทั้งสองพรรคที่ครองเก้าอี้ในสัดส่วนใกล้เคียงกัน ทำให้แม้ว่า โจ ไบเดน จะขึ้นมาเป็นประธานาธิบดี ก็ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงนโยบายทางด้านภาษีและตลาดหุ้นของโดนัลด์ ทรัมป์ ได้ ไม่ว่าจะเป็นนโยบายการปรับขึ้นภาษีเงินได้นิติบุคคล หรือมาตรการควบคุมกฎระเบียบสถาบันการเงินและบริษัทในกลุ่มเทคโนโลยี ซึ่งจะส่งผลบวกต่อตลาดหุ้นสหรัฐฯ

นอกจากนี้ ยังมีสถิติย้อนหลังที่ระบุว่าหลังจากการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ ยกเว้นในปีที่เกิดฟองสบู่ดอทคอมและวิกฤตซับไพร์ม ดัชนี S&P500 และ SET Index จะปรับตัวขึ้นทุกครั้ง ส่วนตลาดหุ้นไทยจะให้ผลตอบแทนเฉลี่ย 11.5% ในช่วงเวลา 6 เดือน ภายหลังจากการเลือกตั้งเสร็จสิ้นลง อย่างไรก็ตามต้องไม่ลืมว่าปีนี้เป็นปีที่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจจากไวรัสโควิด-19 สถิติดังกล่าวจึงอาจจะใช้ไม่ได้เสมอไป

ทั้งนี้ หาก โจ ไบเดน เป็นประธานาธิบดีสหรัฐฯ ได้จริงจะมีความเสี่ยงในเรื่องนโยบายในการหาเสียงของพรรคเดโมแครต ด้านการจัดการการแพร่ระบาดของไวรัสโควิด-19 มีความเป็นไปได้สูงว่าจะนำนโยบายล็อคดาวน์กลับมาใช้อีกครั้ง เพื่อควบคุมการแพร่ระบาด ซึ่งจะส่งผลกระทบทางเศรษฐกิจเนื่องจากภาคธุรกิจจะกลับมาหยุดชะงักอีกครั้ง โดยคาดว่านโยบายใหม่อาจเกิดขึ้นหลังเข้ารับตำแหน่งอย่างเป็นทางการในช่วงต้นปีหน้า

นายณพวีร์ กล่าวอีกว่า ผลตอบแทนสินทรัพย์ต่างๆ ในรอบหนึ่งเดือนที่ผ่านมาปรากฏว่า บิทคอยน์สร้างผลตอบแทนสูงที่สุด 8.46% ขณะที่ดัชนี S&P500 อยู่ที่ 5.31% ส่วนทองคำอยู่ที่ 1.44% มองว่าทองคำยังมีส่วนต่างการทำกำไรจากราคา (Upside Gain) อีกพอสมควรหลังที่ผ่านมาราคาค่อนข้างจะต่ำ (Underperform) เมื่อเทียบกับบิทคอยน์ ซึ่งเป็นสินทรัพย์ที่มีคุณสมบัติเดียวกันจึงมองว่าเป็นโอกาสในการลงทุนโดยมีเป้าหมายอยู่ที่จุดสูงสุดเดิมที่ระดับ 2,000 ดอลลาร์สหรัฐ ขึ้นไป

“อย่างไรก็ตาม ต้องติดตามภาวะตลาดหลังจากนี้อย่างใกล้ชิด เนื่องจากอาจมีความผันผวนที่ โดนัลด์ ทรัมป์ อาจเดินหน้าฟ้องศาลให้มีการนับคะแนนเลือกตั้งใหม่ในหลายรัฐที่คะแนนสูสี อาจส่งผลต่อคะแนนเสียงที่เปลี่ยนแปลงได้ในอนาคต ดังนั้น ในระยะสั้นจึงอาจมีความผันผวนเกิดขึ้นในตลาดการเงินได้เช่นกัน”