ศุภาลัย แกร่ง กำไร 9 เดือนปี 2564 เติบโต 76% มั่นใจรายได้ทั้งปีโตตามเป้า

ศุภาลัย แกร่ง กำไร 9 เดือนปี 2564 เติบโต 76%
มั่นใจรายได้ทั้งปีโตตามเป้า

          บมจ.ศุภาลัย โชว์ผลประกอบการ 9 เดือนแรกของปี 2564 ยังแข็งแกร่ง เติบโตต่อเนื่องด้วยกำไร 4,191 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 76% รายได้ 18,522 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 44% เมื่อเทียบกับปี 2563 เดินหน้าเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งแนวราบและคอนโดฯ ในไตรมาส 4 มั่นใจทั้งปี 2564 สามารถพิชิตรายได้ 28,000 ล้านบาทตามเป้าที่ตั้งไว้

นายไตรเตชะ ตั้งมติธรรม กรรมการผู้จัดการ บริษัท ศุภาลัย จำกัด (มหาชน) เปิดเผยว่า ในไตรมาส 2-3        ที่ผ่านมาธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ได้รับผลกระทบโดยตรงจากสถานการณ์โควิด-19 ที่มีการแพร่ระบาดอย่างรุนแรง และการชะลอตัวของเศรษฐกิจนั้น ส่งผลให้การเปิดตัวโครงการที่อยู่อาศัยทั้งแนวราบและคอนโดมิเนียมของผู้ประกอบการลดลง รวมทั้งกำลังซื้อของผู้ที่ต้องการซื้อที่อยู่อาศัยลดลงตามไปด้วย อย่างไรก็ตามบริษัทฯ ได้วางแผนรับมือและปรับตัวให้ทันต่อสถานการณ์อันท้าทายที่เกิดขึ้นอย่างรวดเร็วมาโดยตลอด ทำให้ผลประกอบการของบริษัทฯเติบโตอย่างต่อเนื่องและแข็งแกร่ง รายได้รวม 9 เดือนอยู่ที่ 18,522 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตเพิ่มขึ้น 44% โดยบริษัทฯ สามารถทำผลงานด้านกำไรสุทธิ 4,191 ล้านบาท คิดเป็นอัตราเติบโตเพิ่มขึ้น 76% สาเหตุหลักที่รายได้เพิ่มขึ้นและทำกำไรได้อย่างดีเยี่ยมเนื่องจากบริษัทฯมีการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมสร้างเสร็จใหม่ โดยรายได้เพิ่มขึ้นจากการโอนกรรมสิทธิ์คอนโดมิเนียมจำนวน 2 โครงการในช่วงปลายไตรมาส 2 ปี 2564 และยังคงโอนต่อเนื่องในไตรมาส 3 ปี 2564 รวมทั้งยังมีโครงการครบกำหนดโอนกรรมสิทธิ์ในไตรมาส 3 อีก 1 โครงการ นอกจากนี้ส่วนแบ่งกำไรจากเงินลงทุนในการร่วมค้าและบริษัทร่วมสำหรับ 9 เดือนปี 2564 เท่ากับ 364 ล้านบาท เพิ่มขึ้นจากปีก่อนถึง 92% เนื่องจากกำหนดการโอนกรรมสิทธิ์ส่วนใหญ่ของโครงการในประเทศออสเตรเลียอยู่ในช่วงครึ่งปีแรกของปี 2564 โดยในไตรมาสที่ 3 บริษัทฯทำรายได้ 7,522 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 25% เมื่อเทียบกับปี 2563 โดยมีอัตราหนี้สินที่มีภาระดอกเบี้ยต่อส่วนของผู้ถือหุ้นอยู่ที่ 56% ส่วนต้นทุนการเงินที่อัตราเฉลี่ย 1.76 % ต่อปี ณ 30 ก.ย. 64 และมียอดขายที่รอรับรู้รายได้ (Backlog) ประมาณ 32,843 ล้านบาท ณ 30 ก.ย. 64 โดยคาดว่าจะสามารถทยอยโอนให้ลูกค้าและรับรู้เป็นรายได้ในปี 2564 จำนวน 9,786 ล้านบาท และส่วนที่เหลือ 23,057 ล้านบาทในอีก 3 ปีถัดไป เพื่อรองรับการเติบโตด้านรายได้ของบริษัทในอนาคต

ขณะที่ยอดขาย 9 เดือน รวม 17,553 ล้านบาท แบ่งเป็นสัดส่วนยอดขายจากโครงการแนวราบ 13,744    ล้านบาท และยอดขายจากโครงการคอนโดมิเนียม 3,809 ล้านบาท โดยยอดขายแนวราบเติบโตขึ้น 4% ปี จากการเปิดตัว 16 โครงการใหม่ ส่วนยอดขายคอนโดมิเนียมที่ลดลงนั้นเป็นเพราะตลาดคอนโดมิเนียมยังคงชะลอตัว รวมถึงบริษัทฯ ยังไม่มีการเปิดตัวโครงการใหม่ในช่วง 9 เดือนแรกของปี 2564 ซึ่งบริษัทฯ มั่นใจว่าหากมีการเปิดตัวโครงการใหม่ ตลาดคอนโดมิเนียมจะเริ่มฟื้นตัวในทิศทางที่ดีขึ้น เพราะตั้งแต่เดือนเดือนสิงหาคม 2564 ยอดลูกค้าเข้าเยี่ยมชมโครงการเพิ่มขึ้นอย่างชัดเจน นั่นแสดงว่ายังมีกลุ่มลูกค้าที่มีกำลังซื้อและความต้องการซื้ออยู่

สำหรับในช่วงไตรมาส 4 ปี 2564 สถานการณ์โควิด-19 ในประเทศมีสถิติผู้ติดเชื้อลดลงอย่างมากจากช่วงกลางปี รัฐมีมาตรการผ่อนคลายการล็อคดาวน์ในประเทศ ประชาชนเริ่มกลับมาใช้ชีวิตตามปกติ รวมทั้งธนาคารแห่งประเทศไทย ได้ประกาศผ่อนเกณฑ์การกำกับดูแลสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัยและสินเชื่ออื่นที่เกี่ยวเนื่องกับสินเชื่อเพื่อที่อยู่อาศัย หรือ มาตรการ LTV ปลดล็อกซื้อบ้านกู้เต็ม 100% ได้ทุกหลัง ซึ่งเป็นสัญญาณที่ดีของการฟื้นตัวของเศรษฐกิจ ทำให้เริ่มเห็นกำลังซื้ออสังหาริมทรัพย์กลับเข้ามาในตลาด  บริษัทฯ มีแผนเปิดตัวโครงการใหม่ทั้งหมด 12 โครงการ มูลค่ารวม 16,100 ล้านบาท แบ่งเป็น 8 โครงการแนวราบ มูลค่า 10,350 ล้านบาท รวมถึงเปิดตัว 4 โครงการคอนโดมิเนียม มูลค่า 5,750 ล้านบาท โดยในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา ได้มีการเปิดขายโครงการคอนโดฯ แรกของปี 2564 คือ ศุภาลัย พรีเมียร์ สามเสน-ราชวัตร โดยได้รับเสียงตอบรับอย่างล้นหลามจากลูกค้า ซึ่งการเปิดขายรอบ Pre-sales ก็ได้กระแสตอบรับที่ดีเกินคาด โดยสร้างยอดขายไปได้มากกว่า 1,000 ล้านบาท ถือเป็นปรากฎการณ์ที่สวนกระแสตลาดอสังหาฯ ในช่วงเวลานี้เป็นอย่างมาก

บริษัทฯ มั่นใจว่าผลประกอบการตลอดทั้งปี 2564 จะเป็นไปตามเป้าหมายที่ตั้งเอาไว้คือ 28,000 ล้านบาท โดยคาดว่าจะทำรายได้สูงที่สุดในช่วงปลายไตรมาส 4 เนื่องจากมีการเปิดตัวโครงการใหม่ ซึ่งจะส่งผลให้ตัวเลขยอดขายดีขึ้นตามลำดับ อีกทั้งตลาดอสังหาริมทรัพย์ยังได้ผ่านจุดวิกฤตที่สุดไปแล้ว จากแนวโน้มสถานการณ์การแพร่ระบาดโควิด-19 ที่เริ่มคลี่คลาย และทิศทางเศรษฐกิจของประเทศที่เริ่มฟื้นตัวหลังจากที่รัฐบาลมีนโยบายเปิดประเทศรับนักท่องเที่ยวต่างชาติตั้งแต่วันที่ 1 พฤศจิกายน 2564 ที่ผ่านมา