เปิดมุมมอง”ชัชชาติ สิทธิพันธุ์” หัวใจการทำธุรกิจคิวเฮ้าส์ ค้นหา”ลูกค้า”ให้เจอ

ตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่มีการแข่งขันสูง ซัพพลายในตลาดที่มีอยู่จำนวนมาก ทำอย่างไร จึงจะทำการค้นหา “ลูกค้าตัวเองให้เจอ ขณะที่ลูกค้าต้องหาเราให้เจอด้วย”นี่คือ หัวใจการทำธุรกิจของคิวเฮ้าส์” เป็นคำบอกเล่าของ ชัชชาติ สิทธิพันธุ์ประธานเจ้าหน้าที่บริหารและกรรมการผู้จัดการ บริษัท ควอลิตี้ เฮ้าส์ จำกัด

ข้อมูลในอสังหาริมทรัพย์มีเยอะมาก ถ้ามีแพลตฟอร์มกลางที่สามารถรวบรวมข้อมูลได้ครบถ้วนพร้อมมีคำแนะนำจากผู้เชี่ยวชาญ ก็ช่วยให้การตัดสินใจของลูกค้าง่ายขึ้น

อนาคตแค่แพลตฟอร์มบนเว็บไซต์ของบริษัท อาจจะไม่เพียงพอที่ทำการค้นหาลูกค้ามีจำนวนมาก จึงต้องมองหาแพลตฟอร์มกลางอสังหาฯ ในอนาคตเชื่อว่า จะมีแพลตฟอร์มกลางอสังหาฯ รวมข้อมูลของทุกบริษัทอยู่ด้วยกัน ที่ลูกค้าสามารถค้นหาหาสิ่งที่ต้องการได้ โดยทุกคนจะซื้อบ้านต้องเข้ามาดูแพลตฟอร์มนี้ เพราะผู้บริโภคจะเชื่อข้อมูลจากคนกลางมากกว่า  เช่น แอร์ บีแอนด์บี

“ผมมองว่า การค้นหา(เสิร์ช) คือ หัวใจสำคัญ ปัจจุบันไม่มีใครซื้อบ้านโดยไม่ค้นหาในเว็บไซต์ก่อน ขณะที่เว็บไซต์ของบริษัทมีทำควบคู่ไป”  ชัชชาติ กล่าว

สำหรับแผนการลงทุนของคิวเฮ้าส์ในปีนี้ จะเปิด 13-15 โครงการ มูลค่าประมาณ 13,000-15,000 ล้านบาท โดยจะเป็นโครงการแนวราบทั้งหมด ทั้งทาวน์เฮ้าส์ บ้านเดี่ยว ราคาเริ่มต้น 3-40 ล้านบาท เน้นกลุ่มลูกค้าทำงานประจำ โดยในไตรมาสแรก บริษัทฯได้เปิดขายโครงการบ้านใหม่จำนวน 2 โครงการ มูลค่าโครงการรวม 1,988ล้านบาท และปิดโครงการบ้านที่ขายหมดแล้วจำนวน 2 โครงกา

” โซนที่คิวเฮ้าส์จะไปเปิดโครงการมีทั้งในพื้นที่จ.เชียงใหม่ บางนา และกรุงเทพตะวันตก และทำเลดอนเมืองที่มีโครงการรถไฟฟ้าที่อยู่ระหว่างการก่อสร้าง ส่วนการเข้าไปพัฒนาโครงการในพื้นที่ระเบียงเศรษฐกิจพิเศษภาคตะวันออก หรือ อีอีซี น่าจะไม่ใช่จังหวะที่เหมาะเข้าไปลงทุน เพราะในช่วงแรกจะเป็นการลงทุนโครงสร้างพื้นฐานและการลงทุนในอุตสาหกรรมต่างๆ ก่อนในระยะ 3-4 ปี ทั้งนี้ พบว่า ราคาที่ดินในพื้นที่ปรับขึ้นไปสูงมาก ทำให้การพัฒนาโครงการอสังหาฯยากขึ้น จากต้นทุนที่ดินที่สูงขึ้น”

สำหรับการลงทุนโครงการคอนโดมิเนียมของคิวเฮ้าส์ ในช่วง 2-3 ปีนี้ จะยังไม่มีแผนพัฒนาโครงการใหม่  เนื่องจากปัจจุบัน บริษัทมีสินค้ารอขาย(สต๊อก)ของโครงการคอนโดมิเนียมคิดเป็นมูลค่าประมาณ 10,000 ล้านบาท แต่ไม่ได้เป็นเรื่องน่ากังวลเกี่ยวกับมูลค่ารอขายที่มาก  เนื่องจากสถานการณ์ยังไม่จำเป็นต้องเร่งระบาย ขณะที่ความต้องการของลูกค้ายังมีอยู่ และไม่จำเป็นต้องใช้วิธีลดราคามากระตุ้นยอดขาย

“ การระบายสต็อกคอนโดเหลือขายอยู่ อย่างแบบค่อยเป็นค่อยไป ซึ่งบางโครงการอยู่ระหว่างการก่อสร้าง เบริษัทจึงกลับมาเน้นเปิดโครงการแนวราบที่บริษัทมีความเชี่ยวชาญมากกว่าก่อน และการพัฒนาโครงการแนวราบสามารถพัฒนาไปที่ละเพสได้ ขณะที่คอนโดมิเนียมต้องขายและสร้างเสร็จทั้งตึก ทำให้ความเสี่ยงพอสมควร และใช้เงินลงทุนสูง”ชัชชาติกล่าว

สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาสแรกของปี2561 บริษัทฯมีรายได้จากการขายอสังหาริมทรัพย์ 2,929 ล้านบาท ลดลง 206 ล้านบาท หรือลดลง 7%  เนื่องจากรายได้จากการขายบ้านพร้อมที่ดินลดลงจำนวน 23 ล้านบาท หรือลดลง 1%และรายได้จากการขายคอนโดมิเนียมลดลงจำนวน 183 ล้านบาท หรือลดลง 45%โดย

ขณะที่รายได้จากค่าเช่าและบริการเพิ่มขึ้นมาอยู่ที่ 333 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 6% ส่วนใหญ่มาจากรายได้จากธุรกิจโรงแรมเพิ่มขึ้นจำนวน 18 ล้านบาท เนื่องจากการเพิ่มขึ้นของอัตราการเช่าและการปรับเพิ่มอัตราค่าห้อง และรายได้อื่นๆ รวมรายได้ 3,321 ล้านบาท ลดลง 181 ล้านบาท หรือ 5%

ชัชชาติ ได้สะท้อนมุมมอง ภาพรวมตลาดอสังหาริมทรัพย์ ในครึ่งปีหลังว่า คาดว่าจะยังขยาย ตัวได้อย่างต่อเนื่องอย่างค่อยเป็นค่อยไป ไม่หวือหวามากนนัก เพราะกำลังซื้อในประเทศยังไม่ดีขึ้นมาก ขณะที่กำลังซื้อต่างประเทศที่เข้ามาก็ยังมีอยู่ในกลุ่มคอนโดมิเนียม ส่วนในช่วง 5 เดือนแรกของปี 2561 (ม.ค.-พ.ค.) มีการเติบโต ผู้ประกอบการมีการลงทุนพัฒนาโครงการเป็นจำนวนมาก