ตลาดคอนโดมิเนียมตามแนวถนนสุขุมวิท

ตลาดคอนโดมิเนียมในกรุงเทพมหานครนั้นหลายพื้นที่เป็นพื้นที่ที่น่าสนใจ แต่พื้นที่ตามแนวถนนสุขุมวิทเป็นพื้นที่ที่ได้รับความนิยมทั้งจากผู้ประกอบการและผู้ซื้อมาโดยตลอดตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน และถ้านับเฉพาะตั้งแต่ปีพ.ศ.2552 เป็นต้นมานั้นมีคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในพื้นที่ตามแนวถนนสุขุมวิทตั้งแต่สถานีรถไฟฟ้านานาจนถึงพื้นที่รอบๆ สถานีรถไฟฟ้าอ่อนนุชรวมแล้วไม่ต่ำกว่า 36,274 ยูนิตที่เปิดขายตั้งแต่ปีพ.ศ.2552 เป็นต้นมา

คอนโดมิเนียมเปิดขายสะสมในพื้นที่ตามแนวถนนสุขุมวิทตั้งแต่พื้นที่รอบๆ สถานีรถไฟฟ้านานา – อ่อนนุช

ที่มา: ไรส์แลนด์ (ประเทศไทย)

ผู้ประกอบการยังคงเลือกพื้นที่ตามแนวถนนสุขุมวิทเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมใหม่อย่างต่อเนื่องทุกปี แม้ว่าราคาที่ดินในพื้นที่นี้จะมีราคาขายเพิ่มขึ้นต่อเนื่องและสูงเกินกว่า 2 ล้านบาทต่อตารางวาไปแล้วในปัจจุบันหรือต่ำกว่า 1 ล้านบาทต่อตารางวาสำหรับที่ดินในซอยที่อาจจะไม่สามารถพัฒนาอาคารสูงได้เพราะด้วยข้อจำกัดเรื่องของความกว้างของถนนซอยด้านหน้าที่ดิน แม้ว่าที่ดินในพื้นที่นี้จะราคาสูงแต่ผู้ประกอบการก็ยังคงเข้ามาซื้อที่ดินเพื่อลงทุนพัฒนาโครงการใหม่ต่อเนื่อง เพราะพื้นที่ตามแนวถนนสุขุมวิทนั้นไม่เพียงแต่มีสถานีรถไฟฟ้าตลอดแนวเส้นทางถนนสุขุมวิทแต่ยังคงเป็นทำเลที่ชาวต่างชาติรู้จักและเลือกซื้อคอนโดมิเนียมเป็นอันดับต้นๆ ของกรุงเทพมหานคร

คอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่สะสมตั้งแต่ปีพ.ศ.2552 เป็นต้นมา แยกตามพื้นที่

ที่มา: ไรส์แลนด์ (ประเทศไทย)

พื้นที่ตั้งแต่รอบๆ สถานีรถไฟฟ้าเอกมัยถึงสถานีรถไฟฟ้าอ่อนนุชเป็นอีก 1 พื้นที่ที่ผู้ประกอบการเลือกเข้าไปเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมใหม่ต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา เพราะว่าราคาที่ดินที่ต่ำกว่าพื้นที่อื่นๆ ตามแนวถนนสุขุมวิทอีกทั้งหลายโครงการที่เปิดขายในพื้นที่นี้มีขนาดใหญ่จำนวนยูนิตมากกว่า 500 ยูนิตบางโครงการก็มากกว่า 1,000 ยูนิตขึ้นไป ดังนั้น จำนวนคอนโดมิเนียมในพื้นที่นี้จึงมีจำนวนรวมมากที่สุด ในขณะที่อีก 2 พื้นทีไม่ค่อยมีโครงการเปิดขายใหม่ในช่วง 1 – 2 ปีที่ผ่านมาเพราะว่าราคาที่ดินสูงมากโดยเฉพาะพื้นที่ริมถนนสุขุมวิทที่หลายแปลงบอกขายกันที่มากกว่า 2 ล้านบาทต่อตารางวาไปแล้วอีกทั้งหลายโครงการในพื้นที่ตั้งแต่สถานีรถไฟฟ้านานาจนถึงสถานีรถไฟฟ้าทองหล่อเป็นโครงการขนาดเล็กมีจำนวนยูนิตน้อยกว่า 100 ยูนิตต่อโครงการ ดังนั้น จำนวนยูนิตรวมในสองพื้นที่นี้จึงมีจำนวนน้อยกว่าอย่างเห็นได้ชัด

อีกปัจจัยหนึ่งที่น่าสนใจคือ ซอยที่แยกออกจากถนนสุขุมวิทตั้งแต่สถานีรถไฟฟ้านานามาจนถึงสถานีรถไฟฟ้าทองหล่อหลายซอยมีความยาวมากกว่า 1 กิโลเมตรและเชื่อมต่อกับซอยอื่นๆ ได้โดยตลอด ผู้ประกอบการหลายรายจึงเลือกที่จะเข้าไปซื้อที่ดินในซอยเพื่อเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมแต่เป็นโครงการขนาดไม่ใหญ่มากจำนวนยูนิตไม่เยอะ และหลายโครงการได้รับความสนใจจากผู้ซื้อค่อนข้างมากเพราะว่าราคาขายต่ำกว่าโครงการที่อยู่ไม่ไกลจากสถานีรถไฟฟ้า เพราะหลายโครงการที่เปิดขายใหม่ในในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมาในพื้นที่รอบๆ สถานีรถไฟฟ้า นานา อโศก พร้อมพงษ์ ทองหล่อมีราคาขายเริ่มต้นที่มากกว่า 250,000 บาทต่อตารางเมตรขึ้นไป บางโครงการจึงขายได้ไม่มากหลังจากเปิดขายมาระยะหนึ่ง

ราคาขายเฉลี่ยของโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่ตามแนวถนนสุขุมวิท

ที่มา: ไรส์แลนด์ (ประเทศไทย)

ราคาขายเฉลี่ยของโครงการที่เปิดขายใหม่ในแต่ละปีในทั้ง 3 พื้นที่นั้นมีการปรับเพิ่มขึ้นโดยต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมาโดยมีการปรับขึ้นเฉลี่ยประมาณ 25% – 30% ต่อปีเลย เพราะราคาที่ดินที่เพิ่มขึ้นต่อเนื่องในพื้นที่นี้ที่เป็นปัจจัยหลักที่มีผลให้ราคาขายคอนโดมิเนียมปรับเพิ่มขึ้นต่อเนื่องในช่วงที่ผ่านมา แต่อัตราการขายของโครงการคอนโดมิเนียมในพื้นที่นี้ก็สูงมากเช่นกัน โดยอยู่ที่ประมาณ 87% มียูนิตเหลือขายไม่มากนักในปัจจุบัน อาจจะมีบางโครงการที่มีราคาขายสูงที่มีอัตราการขายที่ไม่สูงมาก

พื้นที่รอบๆ สถานีรถไฟฟ้าทองหล่อ และเอกมัยเป็นพื้นที่ที่มีความน่าสนใจในปีนี้และในอนาคตเพราะผู้ประกอบการให้ความสนใจและเข้าไปซื้อที่ดินเพื่อเปิดขายโครงการใหม่ต่อเนื่องโดยคาดว่าภายในปียี้จะมีคอนโดมิเนียมเปิดขายใหม่ในพื้นที่รอบๆ สถานีรถไฟฟ้าทองหล่อ และเอกมัยประมาณ 3,286 ยูนิตซึ่งถือว่าค่อนข้างสูงและเป็นโครงการของปผู้ประกอบการรายใหญ่ทั้งหมดโดยไม่เพียงแต่พื้นที่ตามแนวถนนสุขุมวิทฝั่งซอย 55 – 63 เท่านั้น แต่ฝั่งซอยสุขุมวิท 36 – 42 ก็เช่นกันที่ผู้ประกอบการหลายรายมีแผนจะเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมภายในปีนี้หรือในอนาคต โดยส่วนใหญ่เป็นผู้ประกอบการรายใหญ่ในตลาดหลักทรัพย์ที่มีความมั่นใจว่าสามารถเปิดขายโครงการคอนโดมิเนียมราคาแพงมากกว่า 250,000 บาทต่อตารางเมตรได้ ดังนั้นการแข่งขันในพื้นที่นี้คาดว่าจะสูงขึ้นมากในช่วงครึ่งหลังของปีนี้และปีต่อไป เพราะด้วยกำลังซื้อของคนไทยที่มีจำกัดโดยเฉพาะในโครงการคอนโดมิเนียมที่มีราคาขายแพงระดับนี้ ผู้ประกอบการทุกรายจึงจำเป็นต้องหาช่องทางในการขายโครงการของตนเองให้กับชาวต่าวชาติมากขึ้น