หมู อุ๊คบี – ปริญญ์ พานิชภักดิ์ – เอ คอยน์แมน – ท็อป จิรายุส นำทีมคนรุ่นใหม่ เขย่าวงการเทคโนโลยีไทย ในงาน Blockchain Thailand Genesis 2019 มหกรรมงานบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในไทย!

หมู อุ๊คบี – ปริญญ์ พานิชภักดิ์ – เอ คอยน์แมน – ท็อป จิรายุส
นำทีมคนรุ่นใหม่ เขย่าวงการเทคโนโลยีไทย
ในงาน Blockchain Thailand Genesis 2019
มหกรรมงานบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในไทย!

หมุนเวียนกลับมาอีกครั้ง สำหรับ Blockchain Thailand Genesis 2019 มหกรรมงานบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในไทย! หลังได้รับการตอบรับอย่างดีเยี่ยมจากการจัดงานในปีแรก โดยในปีนี้ซึ่งเป็นปีที่ 2 ของการจัดงาน ได้รับความร่วมมือจากหลายภาคส่วนมาร่วมระดมกำลัง เพื่อขับเคลื่อนวงการเทคโนโลยีไทย ให้เตรียมพร้อมสำหรับการมาถึงของเทคโนโลยีบล็อกเชน ที่จะเปลี่ยนแปลงรูปแบบการทำธุรกรรมของคนทั้งโลก พลิกโฉมธุรกิจ การเงิน และการลงทุน หรือแม้แต่บริการภาครัฐ นำความท้าทายมาสู่หลายอุตสาหกรรมที่ต้องปรับตัวให้เท่าทัน

Blockchain Thailand Genesis 2019 จะเกิดขึ้นภายใต้แนวคิด The Future of Financial Disruption  มีกำหนดจัดงานในวันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2562 ณ ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ ประกอบไปด้วยส่วนจัดแสดงและเจรจาธุรกิจ เวทีสัมมนาหลัก เวทีสัมมนาย่อย และกิจกรรมเวิร์กชอป เพื่อแลกเปลี่ยนความรู้และเทรนด์ใหม่ๆ อย่างเข้มข้น จากตัวจริงในวงการ อาทิ Cryptomind, Bitkub, SIX network, Carboneum, Smart Contract Thailand, Kulap, Om Platform, Bitcoin Addict, Siam Blockchain, Blockchain Review พร้อมได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานรัฐอย่างกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม สำนักงานส่งเสริมเศรษฐกิจดิจิทัล (DEPA) และสำนักงาน กลต.

บล็อกเชนลดตัวกลาง เพิ่มผลประโยชน์ให้ธุรกิจ

ณัฐวุฒิ พึงเจริญพงศ์ หรือ หมู อุ๊คบี ผู้ก่อตั้งและซีอีโอ บริษัทอุ๊คบี (Ookbee) หนึ่งในเจ้าของโปรเจค SIX network ที่นำเอาบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลมาประยุกต์ใช้กับธุรกิจด้านคอนเทนต์ กล่าวว่า การมาถึงของบล็อกเชน มาพร้อมระบบ Decentralized ก็จะช่วยในธุรกิจ ในแง่ของการตัดตัวกลางต่าง ๆ ออกไป เมื่อลดตัวกลางต่างๆ ออกไปจากซัพพลายเชน ผลประโยชน์ที่เกิดขึ้นกับธุรกิจก็จะมากขึ้นด้วย เพราะว่าตัวกลางส่วนใหญ่โดยปกติจะแบ่งผลประโยชน์ออกไปในแต่ละขั้น อย่างธุรกิจที่ผมทำ มีความเกี่ยวข้องกับคนที่สร้างสรรค์คอนเทนท์เยอะ เมื่อมีระบบบล็อกเชนช่วยเป็นตัวกลางได้ ส่วนแบ่งของนักสร้างคอนเทนท์ต่างๆ ก็จะมากขึ้น 

หากพูดถึงเรื่องบล็อกเชนกับโลกของการเงิน คิดว่าทุกคนอาจจะเคยได้ยิน คริปโตเคอเรนซี หรือว่า บิทคอยน์ หรือสกุลเงินดิจิทัลต่าง ๆ  ซึ่งในความเป็นจริงระบบการเงินในปัจจุบันมีตัวกลางอยู่เยอะมาก ยกตัวอย่าง เราทำดิจิทัลคอนเทนต์ เวลาคนอยากจะซื้อคอนเทนต์ อยากจะเปลี่ยนเงินที่เขามีในกระเป๋า มาเป็นเงินดิจิทัลก็ต้องผ่านตัวกลางต่าง ๆ อาจจะเป็นวีซ่า มาสเตอร์การ์ด ซึ่งคนที่มีบัตรเครดิตในประเทศไทยมีอยู่ไม่ถึง 10% หรืออาจจะต้องไปใช้วิธีการตัดเงินผ่านโทรศัพท์มือถือ ก็คือตัดเงินค่าโทรศัพท์เพื่อเอาเงินค่าโทรศัพท์มาเติมเป็นเงินดิจิทัลใช้ในการซื้อคอนเทนต์ ซึ่งก็ต้องไปเติมเงินหรือจ่ายเงินสดเข้าไปเพื่อแลกเปลี่ยน ผมเชื่อว่าเทคโนโลยีบล็อกเชนจะเข้ามาสร้างดิจิทัลเคอเรนซีที่มีมาตรฐานในอนาคต สามารถช่วยลดตัวกลางเหล่านี้ให้การใช้เงินต่างๆ มีต้นทุนที่ถูกลงครับ”

บิทคอยน์ ไม่ใช่แค่เงินธรรมดา
อัครเดช เดี่ยวพานิช
หรือ เอ ผู้ก่อตั้งคอยน์แมน (Coinman) ศูนย์กลางข้อมูลความรู้ การลงทุน วิเคราะห์เทคโนโลยีด้านบล็อกเชนและคริปโตเคอเรนซี เล่าว่า โลกเรามีการเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา การมาถึงของอินเทอร์เน็ตในยุคแรก ก็ยังเคยมีคนประณามว่าเอาไว้ส่งของเถื่อน ส่งข้อมูลเถื่อน ส่งรูปโป๊ พอมาในปัจจุบันอินเทอร์เน็ตสามารถสร้างประโยชน์ได้มากมาย และกลายเป็นสิ่งจำเป็นของผู้คนไปแล้ว ตอนนี้ที่บิทคอยน์มาถึง บางคนก็บอกว่าเป็นเงินเถื่อน เอาไว้ฟอกเงิน เอาไว้ใช้ขายของเถื่อน แต่บิทคอยน์จริงๆ แล้วมันไม่ใช่แค่เงินธรรมดา แต่มันเป็นระบบการเงินที่เปิด เปิดให้ทุกคนสามารถเข้ามาใช้ได้ เป็นระบบการเงินที่เท่าเทียม ไม่ว่าใครก็ทุกคนมีสภาพเหมือนกันหมด ไม่มีใครได้เร็วกว่าใคร เป็นเงินที่ไม่มีพรมแดน เราไม่ต้องยึดติดกับเงินที่ต้องถือที่ไหนสักแห่งแล้ว มันอยู่ในโลกดิจิทัลแล้ว เป็นเงินที่ไม่สามารถเซนเซอร์ได้ เงินที่ไม่มีใครบอกว่า ห้ามโอนนะ ต้องอายัดนะ ไม่มีใครสามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเงินนี้ได้ ที่สำคัญที่สุดนะครับ ระบบนี้ไม่มีเจ้าของ ไม่มีตัวกลาง ไม่มีใครเข้ามาควบคุม ดังนั้นแปลว่าทุกคนมีอิสรภาพในการใช้เงินนี้ อำนาจอธิปไตยของการเงินเนี่ยจะกลับมาเป็นของพวกเราทุกคนในโลก ที่สำคัญที่สุดคือ บิทคอยน์เป็นแค่จุดเริ่มต้น ยังมีสินทรัพย์ดิจิทัลอื่นๆ ที่ใช้คอนเซ็ปต์ของบิทคอยน์ ที่น่าสนใจอีกมาก” 

 

บล็อกเชนสร้างสังคมโปร่งใสอย่างยั่งยืน
ปริญญ์ พานิชภักดิ์ รองหัวหน้าพรรค และหัวหน้าทีมเศรษฐกิจ พรรคประชาธิปัตย์ หนึ่งในสายการเมืองที่มีความสนใจและยกมือสนับสนุนการใช้เทคโนโลยีบล็อกเชนมาอย่างยาวนาน กล่าวว่า “นวัตกรรมเทคโนโลยีบล็อกเชนจะมีบทบาทสำคัญมากในการเปลี่ยนแปลงวิธีการทำธุรกิจ โดยเฉพาะการนำบล็อกเชนมาใช้เพิ่มความโปร่งใสและการตรวจสอบข้อมูล สำคัญอย่างมากต่อโลกปัจจุบัน ที่ข้อมูลเปรียบเหมือนเหมืองทอง ในยุค 4.0 เราจะจัดเก็บข้อมูลอย่างไรให้มีความเรียบร้อย ปลอดภัย ไม่มีใครมาแฮกหรือมาขโมยข้อมูล และเราเอาข้อมูลนี้มาใช้อย่างไรให้เกิดผลบวกให้แก่บริษัท แก่ตัวเอง และแก่สังคม

บางธุรกิจ เช่น ธุรกิจสตาร์ทอัพส์ วิสาหกิจขนาดเล็กและขนาดย่อม ที่ไม่สามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุนที่ถูกต้องและเป็นธรรมได้ บทบาทของระบบบล็อกเชนจะช่วยเชื่อมโยงระหว่างธุรกิจเล็กๆ ที่มีไอเดียบรรเจิดแต่ขาดสภาพคล่อง กับกลุ่มคนที่มีเงินมาก สภาพคล่องเยอะ ให้มาจับคู๋กันได้ ก็นับว่าเป็นหน้าที่ของ
บล็อกเชนที่จะช่วยลดความเหลื่อมล้ำได้ และก็สามารถเพิ่มความคล่องตัวในการระดมทุนให้กับวิสาหกิจธุรกิจขนาดเล็กและขนาดย่อม ได้ด้วย

ในเรื่องความโปร่งใส ผมเชื่อว่าบล็อกเชนเป็นส่วนหนึ่งที่จะทำให้ได้เข้าถึงเป้าหมายใหญ่ของการพัฒนา การเติบโตอย่างยั่งยืน ที่องค์กรสหประชาชาติระบุไว้ 17 ข้อ ใน UN Sustainability Development Goal  นำมาซึ่งความโปร่งใส ที่มันจะสร้างธรรมาภิบาลที่ดีขึ้นให้กับการทำธุรกิจ ให้กับสังคมไทย ให้กับการพัฒนาบ้านเมืองให้กับสังคม ตรงนี้ผมเชื่อว่าหลายๆ ส่วนใช้ประโยชน์จากบล็อกเชนได้ไม่ว่าจะเป็น สำนักงาน ป.ป.ช. สำนักงาน ปปง. สำนักงานการตรวจเงินแผ่นดิน ในอนาคตสามารถนำมาใช้ตรวจสอบข้อมูล การป้องกันทุจริตคอรัปชั่น การเก็บข้อมูลและดึงมาใช้ได้อย่างทันท่วงที”

บล็อกเชน…สั่นสะเทือนวงการการเงินโลก
ขณะที่ จิรายุส ทรัพย์ศรีโสภา         หรือ ท็อป ซีอีโอจาก Bitkub ศูนย์กลางซื้อขายแลกเปลี่ยนเงินดิจิทัล พ่วงด้วยตำแหน่งกรรมการบริหารสมาคมฟินเทคประเทศไทย กล่าวว่า เทคโนโลยีที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกไม่ได้เกิดขึ้นบ่อยๆ อย่างเฟสแรกของโลกเราเรียกมันว่า Personal Computer ตอนปี 1975 ซึ่งนั่นคือ Infrastructure อันแรก ที่ทำให้คนอย่างบิล เกต สร้าง Application ข้างในนั่นคือ Software และก็มาเปลี่ยนแปลงโลกในอีก 50 ปีต่อมา เฟสที่สองของโลก มันคืออินเตอร์เนต หรือ TCPIP ที่เกิดตอนปี 1990 ซึ่งทำให้มาร์ค ซัคเคอร์เบริ์กมาสร้าง Application ที่เรียกว่า Facebook แล้วก็มาเปลี่ยนแปลงโลกต่อไป ทำให้คนอย่างแลรี่ เพจสร้างอีก Application หนึ่งที่เรียกว่า Google แล้วก็มาเปลี่ยนแปลงโลก และปี 2009 เราเพิ่งจะมี Infrastructure ที่จะเข้ามาเปลี่ยนแปลงโลกครั้งที่ 3 ที่เราเรียกว่าบล็อกเชน แล้วบิทคอยน์ก็เป็นเพียงแค่ Application แรกของเทคโนโลยีบล็อกเชนเท่านั้น โดยบิทคอยนี้เกิดมาได้แค่ 10 ปี สามารถทำให้วงการที่ Disrupt ยากที่สุดในโลกนั่นคือวงการการเงินเกิดการสั่นคลอนแล้ว หรือการที่บล็อกเชนกระโดดมาวงการระดมทุนเมื่อสองปีที่แล้ว หรือที่เรียกว่า ICO มันทำให้คนสามารถระดมทุนผ่าน ICO ได้มากกว่า Venture Capital ทั่วโลกรวมตัวกัน เพราะฉะนั้นบลอกเชนจะไม่ต่างอะไรกับเทคโนโลยีอื่นๆ ตรงที่ว่าในอนาคต ทุกๆ วงการ ทุกๆ บริษัท ต้องใช้เทคโนโลยีบล็อกเชน ไม่ต่างอะไรกับที่อินเทอร์เน็ตมันครอบคลุมไปทุกวงการแล้ว มันเข้ามาเปลี่ยนแปลงในทุกวงการ เพราะฉะนั้นบล็อกเชนในอีก 5-10 ปีข้างหน้า มันก็จะมาเปลี่ยนแปลงทุกวงการเช่นเดียวกัน

ที่ผ่านมาสังเกตว่า TCPIP มันไม่สามารถมากระทบการแลกเปลี่ยนมูลค่าได้ก็เพราะว่ามันเพิ่มสำเนา ไม่ว่าเราจะสื่อสารผ่านการส่งอีเมล การส่งรูปภาพ มันคือการทำสำเนาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ แต่พอบล็อกเชนมาเราสามารถที่จะอัพโหลดมูลค่าทุกชนิดเข้าไปอยู่ในโลกออนไลน์ได้แล้ว และเราสามารถแลกเปลี่ยนกัน 24 ชม. เป็นระบบเปิด ไม่มีค่าใช้จ่าย ไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางอีกต่อไป  ลองคิดภาพนะครับ โลกก่อนบล็อกเชน เวลาเราจะแลกเปลี่ยนมูลค่าครั้งหนึ่ง เราต้องพึ่งพาตัวกลางเต็มไปหมดเลย เวลาจะโอนเงินก็ต้องพึ่งพาแบงก์ เวลาจะซื้อหุ้นก็ต้องไปหาโบรกเกอร์ ซื้อขายทองก็ต้องไปร้านขายทอง ซื้อขายที่ดินก็ต้องไปหานายหน้าขายที่ดิน ซึ่งมูลค่ายังเก็บอยู่ในรูปแบบของ Principle Format แต่พอบล็อกเชนมา มันทำให้เราสามารถอัพโหลดมูลค่าทุกชนิดเข้าไปอยู่ในรูปแบบของดิจิทัลได้แล้ว และการหมุนของมูลค่าตรงนี้มันจะเร็วขึ้นมากๆ เพราะฉะนั้นในอนาคตการแลกเปลี่ยนมูลค่าทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นเพชร ทอง ที่ดิน รวมถึงทรัพย์สินทางปัญญา จะอยู่ในรูปแบบของดิจิทัล แล้วมันก็จะทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพราะว่ามันเป็นระบบเปิด ไม่ต้องพึ่งพาตัวกลางอีกต่อไป”  

ทั้งนี้องค์กร ธุรกิจ หรือผู้ที่สนใจสามารถเข้าร่วมงาน Blockchain Thailand Genesis 2019: The Future of Financial Disruption มหกรรมงานบล็อกเชนและสินทรัพย์ดิจิทัลที่ใหญ่ที่สุดในไทย! ในวันเสาร์ที่ 30 พฤศจิกายน 2562 ณ ศูนย์การค้าสามย่านมิตรทาวน์ ติดตามรายละเอียดและซื้อบัตรเข้างานได้ทาง www.blockchain-th.com และ www.facebook.com/blockchainthailandevent